สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดทะยานขึ้นเหนือระดับ 1,300 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (28 ก.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลง ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือนของสหรัฐได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง และยังทำให้เกิดกระแสคาดการณ์มากขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing) หรือ QE เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 9.70 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,308.30 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,276.20 - 1,311.80 ดอลลาร์/ออนซ์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 23.60 เซนต์ ปิดที่ 21.7070 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 4 เซนต์ ปิดที่ 3.6370 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 5.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,635.70 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 8.25 ดอลลาร์ ปิดที่ 560.45 ดอลลาร์/ออนซ์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดทองคำนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์และข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง โดยคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐเดือนก.ย.ร่วงลงสู่ระดับ 48.5 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน จากเดือนส.ค.ที่ระดับ 53.2 จุด เนื่องจากตลาดแรงงานและภาวะการลงทุนในภาคธุรกิจซบเซาลง
ดัชนีความเชื่อมั่นที่หดตัวลงอย่างหนักส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรงครั้งใหม่ และอาจทำให้เฟดตัดสินใจใช้มาตรการ QE ด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน ซึ่งการดำเนินมาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบให้สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงไปอีก