สายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์และคาเธย์แปซิฟิคเผยหลังใช้กลยุทธ์ลดราคาตั๋วเครื่องบินแล้ว ผู้โดยสารก็กลับมาใช้บริการมากขึ้น แต่คงจะต้องใช้เวลานานกว่าที่กำไรจะฟื้นตัวขึ้น โดยในช่วงเดือนก.ค.และส.ค.นั้น สิงคโปร์แอร์ไลน์มียอดผู้ใช้บริการโดยเฉลี่ย 79% ของที่นั่งทั้งหมด ขณะที่คาเธย์ สายการบินรายใหญ่สุดของฮ่องกงมีผู้โดยสาร 83.8% ซึ่งถือเป็นอัตราเฉลี่ยที่สูงสุดในปีนี้
ทั้งสองสายการบินได้ลดราคาตั๋วลงเพื่อดึงดูดผู้ใช้บริการที่ต้องการเดินทางไปทำธุรกิจหรือเดินทางท่องเที่ยวในช่วงที่เศรษฐกิจโลกถดถอยรุนแรงสุดในรอบ 60 ปี รวมทั้งระงับการให้บริการเครื่องบินบางส่วน ซึ่งการลดราคาทำให้ราคาตั๋วเครื่องบินทั่วโลกอยู่ในระดับที่ไม่ทำกำไร โดยค่าธรรมเนียมในชั้นพรีเมียมเมื่อเดือนส.ค.นั้น อ่อนตัวลง 22% เมื่อเทียบกับระดับปีที่แล้ว
บลูมเบิร์กรายงานว่า คริสโตเฟอร์ หว่อง ผู้จัดการกองทุนของอาเบอดีน แอสเส็ท เมเนจเมนท์ กล่าวว่า ตอนนี้เรียกได้ว่า ดีกว่าบินเครื่องเปล่า แต่ผลประโยชน์ตอบแทนก็ยังไม่แข็งแกร่งขึ้น จุดต่ำสุดของภาวะเศรษฐกิจถดถอยอาจจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่เราก็ยังพูดไม่ได้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
สมาคมการขนส่งทางอากาศสากล (IATA) คาดว่า สายการบินทั่วโลกอาจจะขาดทุน 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 2 พันล้านดอลลาร์จากการคาดการณ์เมื่อเดือนมิ.ย. ซึ่งสายการบินในเอเชียแปซิฟิคคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของยอดขาดทุนดังกล่าว
จิม เอคส์ กรรมการผู้จัดการของอินโดสวิส อาวิเอชั่น กล่าวว่า การทำให้เครื่องบินมีผู้โดยสารใช้บริการเต็มเครื่องนั้นเป็นเรื่องง่าย เพราะมีการลดราคาตั๋วลงถึงครึ่งหนึ่ง และผู้คนก็เริ่มเดินทางกันอีกครั้ง แต่คำถามก็คือ เม็ดเงินที่ได้จากการขายตั๋วนี้จะสูงมากเท่าไร คำตอบก็คือไม่มากนัก
IATA ระบุว่า ราคาตั๋วเครื่องบินโดยเฉลี่ยในชั้นประหยัดในเดือนส.ค.ร่วงลง 18% ขณะที่ผลตอบแทนตลอดทั้งปีหรือราคาเฉลี่ยที่ผู้โดยสารจ่ายต่อการบินระยะทาง 1 กิโลเมตร อาจจะร่วงลง 12% โดยมีดีมานด์การเดินทางในชั้นธุรกิจที่ร่วงลงถึง 20%