In Focus"แอปเปิล (อิงค์)" ผลใหญ่ที่ไม่ร่วงหล่นจากต้นตามแรงโน้มถ่วง

ข่าวต่างประเทศ Wednesday July 28, 2010 16:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

เมื่อหลายร้อยปีก่อน ผลแอปเปิลที่ร่วงหล่นจากต้น ได้จุดประกายให้ เซอร์ ไอแซก นิวตัน ค้นพบกฎแห่งแรงโน้มถ่วง ซึ่งการค้นพบที่เรียบง่าย แต่ยิ่งใหญ่ครั้งนั้น ได้กลายเป็นบันทึกสำคัญแห่งหน้าประวัติศาสตร์โลก

อีกหลายร้อยปีต่อมา “แอปเปิล" อีกผลหนึ่ง กำลังจารึกประวัติศาสตร์บทใหม่ในโลกแห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยี

จุดเริ่มต้นจากคอมพิวเตอร์ สู่บริษัท คอนซูเมอร์ อิเล็กทรอนิกส์ ดีไซน์เรียบหรู สุดล้ำ

บริษัท แอปเปิล คอมพิวเตอร์ (Apple Computer, Inc.) ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1976 ในเมืองคูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยผลิตภัณฑ์ที่ทำให้แอปเปิลเป็นที่รู้จักในยุคแรกๆ ก็คือคอมพิวเตอร์ Macintosh ก่อนที่จะวิวัฒนาการมาสู่ Mac ในปัจจุบัน ซึ่งนอกจากประสิทธิภาพการทำงานที่ยอดเยี่ยมแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้คอมพิวเตอร์ของ แอปเปิลโดดเด่นกว่าใครก็คือ ดีไซน์ที่เรียบง่าย แต่สวยสะดุดตา โดยเฉพาะเมื่อทีมออกแบบของบริษัทตัดสินใจบอกลาพลาสติก และหันมาใช้วัสดุอย่างไทเทเนียม (PowerBook) และ โพลีคาร์บอเนตสีขาว (iBook) ก็ยิ่งเพิ่มความโก้หรูให้กับผลิตภัณฑ์มากยิ่งขึ้น

การพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งดังกล่าวทำให้มาร์เก็ตแชร์ของแอปเปิลในตลาดคอมพิวเตอร์ขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าส่วนแบ่งตลาดของแอปเปิลจะยังตามหลังคู่แข่งอย่าง ไมโครซอฟท์ อยู่มาก แต่แอปเปิลก็เดินหน้าส่งมอบประสบการณ์ด้านวิศวกรรมที่สมบูรณ์แบบ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับ ไมโครซอฟท์ ซึ่งเน้นไปที่ซอฟท์แวร์สำหรับคอมพิวเตอร์ที่มีราคาถูกกว่า

อย่างไรก็ดี แอปเปิลไม่หยุดอยู่ที่ตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ พีซี เท่านั้น โดยในปีค.ศ. 2001 ไอพอด (iPod) เครื่องเล่นเพลงดิจิตอลแบบพกพา (MP3) ก็ได้รับการเผยโฉมเป็นครั้งแรก และก็ประสบความสำเร็จอย่างน่ามหัศจรรย์ เมื่อสามารถทำยอดขายได้มากกว่า 100 ล้านเครื่องในช่วงหกปี ไล่ตั้งแต่รุ่น Classic, Shuffle, Nano และ Touch ซึ่งจากความสำเร็จดังกล่าวก็ได้สร้างความมั่นใจให้กับแอปเปิลว่าเดินมาถูกทางแล้ว และในงาน แมคเวิลด์ เอ็กซ์โป (Macworld Expo) เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2007 สตีฟ จ๊อบส์ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอคนดังของแอปเปิล ก็ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทที่ใช้มานานกว่า 30 ปี โดยตัดคำว่า “คอมพิวเตอร์" ออก ให้เหลือเพียงชื่อสั้นๆแต่เรียบง่ายว่า แอปเปิล (Apple, Inc.) เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า คอมพิวเตอร์ไม่ใช่เพียงธุรกิจเดียวของบริษัทอีกต่อไป และสะท้อนให้เห็นถึงจุดโฟกัสของบริษัทที่หันมาที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เคลื่อนที่ ซึ่งในงานเดียวกันนี้เอง ไอโฟน (iPhone) ก็ได้รับการเผยโฉมเป็นครั้งแรกด้วย

ไอโฟน วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2007 ซึ่งทันทีที่ออกขาย สมาร์ทโฟนหน้าจอสัมผัส หรือ ทัชสกรีนขนาด 3.5 นิ้ว (89 มิลลิเมตร) น้ำหนัก 2.5 กรัม ที่รวมคุณสมบัติการทำงานครบครัน ชนิดที่เรียกว่าย่อเครื่องแมคมาไว้ในมือ ก็ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม

ด้วยความป๊อปปูลาร์ดังกล่าว ทำให้แอปเปิลทยอยปล่อย ไอโฟน รุ่นใหม่ๆ ออกมาดูดเงินในกระเป๋าผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่รุ่น 3G, 3GS และล่าสุดกับ ไอโฟน 4 ที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญถึงกันอยู่ในเวลานี้ โดยจุดเด่นที่เห็นได้ชัดของไอโฟน 4 ก็คือขนาดที่บางลง โดยมีความหนาเพียง 9.3 มิลลิเมตร ซึ่งถือเป็นสมาร์ทโฟนที่มีขนาดบางที่สุดในโลก

โดยไอโฟนทุกรุ่นสามารถสร้างปรากฏการณ์ที่หาได้ยากในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ 2-3 ปีที่ผ่านมา เมื่อผู้คนเข้าแถวรอหน้าร้านเพื่อที่จะเป็นคนแรกๆของโลกที่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของไอโฟน ซึ่งจนถึงปัจจุบัน แอปเปิลจำหน่ายไอโฟนทุกรุ่นรวมแล้วถึง 8.4 ล้านเครื่อง และมีการคาดการณ์กันว่าไอโฟนจะกลายเป็นสินค้าทำเงินสูงสุดของแอปเปิลในไม่ช้าไม่นานนี้

นอกจากนี้ หลังจากที่ปล่อยให้คาดเดาต่างๆนานาอยู่นานหลายปี เมื่อวันที่ 27 มกราคมปีนี้ แอปเปิล ก็ได้เปิดตัวแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ที่หลายคนตั้งตารอ ในนาม "ไอแพด" (iPad) ต่อหน้านักข่าว บล็อกเกอร์ด้านเทคโนโลยี และแขกจำนวนมาก ในงานซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์แสดงศิลปะ Yerba Buena Center for the Arts ในซานฟรานซิสโก ก่อนที่จะเปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 3 เมษายน

ไอแพด เป็นเหมือนภาคขยายของไอโฟนที่มีจอทัชสกรีนขนาด 9.7 นิ้ว มีความหนาเพียง 0.5 นิ้ว และมีน้ำหนักเพียง 1.5 ปอนด์ ซึ่งจ๊อบส์กล่าวว่า ไอแพดสามารถเล่นอินเทอร์เน็ต เล่นเกม และดูวิดีโอได้ดียิ่งกว่าแล็ปท็อปหรือสมาร์ทโฟนเสียอีก

"ไอแพดคือการนำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดของเรามาใส่ในอุปกรณ์ที่แสนวิเศษและเป็นการปฏิวัติวงการ แถมยังมีราคาที่น่าเหลือเชื่อ" จ๊อบส์ กล่าว "ไอแพดจะสร้างสรรค์นิยามใหม่สำหรับอุปกรณ์ซึ่งจะเชื่อมโยงผู้ใช้กับแอพพลิเคชั่นและคอนเทนท์ในรูปแบบที่ใกล้ชิดและสนุกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน"

กล่าวได้ว่า แมค ไอโฟน และไอแพด ถือเป็นธุรกิจหลักของแอปเปิลในตอนนี้

เทพีแห่งโชค

หลังจากที่ล้มลุกคลุกคลานพอสมควรในช่วงแรกของการก่อร่างสร้างตัว แต่ในช่วงปลายยุค 1990 เป็นต้นมา ดูเหมือนเทพีแห่งโชคจะเข้าข้างแอปเปิล เมื่อหยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด โดยนอกจากผลิตภัณฑ์หลักๆที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว แอปเปิลยังมีช่องทางทำเงินอีกหลายช่องทาง ซึ่งรวมถึงซอฟต์แวร์เด่นๆ อย่างระบบปฏิบัติการ Mac OS X ไปจนถึง QuickTime media player, Safari และบริการต่างๆ ทั้ง App Store, iTunes, iBooks และ MobileMe

จะว่าไป เทพีแห่งโชค น่าจะหมายถึง แฟนพันธุ์แท้ของแอปเปิล ที่ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงิน ไม่ว่าบริษัทจะออกผลิตภัณฑ์อะไรใหม่ๆ ซึ่งผลสำรวจโดย เจ.ดี. พาวเวอร์ ระบุว่า แอปเปิลมีลูกค้าที่จงรักภักดีต่อแบรนด์สูงที่สุดในบรรดาผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ทั้งหมด

โดยแฟนพันธุ์แท้ของแอปเปิลทั้งในเอเชียและยุโรปต่อคิวเป็นแถวยาวเหยียดหน้าร้านค้า เมื่อแอปเปิลวางจำหน่ายไอแพดนอกสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากที่สามารถทำยอดขายได้กว่าล้านเครื่องนับตั้งแต่เปิดตัวในบ้านเกิดเมื่อวันที่ 3 เมษายน ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์เอาไว้มาก และความต้องการที่สูงมากนี้ส่งผลให้บริษัทต้องเลื่อนการเปิดตัวในต่างประเทศไปอีกหนึ่งเดือน

อาร์บีซี แคปิตอล มาร์เก็ตส์ ประมาณการว่า ยอดขายไอแพดจะสูงถึง 8.13 ล้านเครื่องทั่วโลกภายในปีนี้

สำหรับไอโฟน 4 นั้น แม้จะทำยอดขายพุ่งแรงไม่น้อยหน้ารุ่นก่อนๆ แต่ก็ทำให้แอปเปิลต้องตกที่นั่งลำบากเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เมื่อบริษัทต้องปกป้องตนเองจากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดนี้

โดยหลังจากที่ไอโฟน 4 ออกวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา ลูกค้าก็พบปัญหาสายสนทนาหลุด เมื่อมือของผู้ใช้สัมผัสหรือกดทับบริเวณที่มีเสารับสัญญาณเครือข่ายข้อมูลไร้สายซึ่งแอปเปิลซ่อนไว้บริเวณมุมซ้ายล่างของเครื่อง ซึ่งแอปเปิลก็แก้ปัญหาในเบื้องต้นด้วยการจัดแถลงข่าวที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า ผู้ใช้ไอโฟนทุกคนจะได้รับปลอกยางกันกระแทก หรือ bumper ฟรี ไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ส่วนผู้ที่ซื้อปลอกไปก่อนหน้านี้แล้ว บริษัทยินดีจะจ่ายเงินคืนให้

จ๊อบส์กล่าวด้วยว่า ถ้าลูกค้ายังไม่พอใจ ก็สามารถนำไอโฟน 4 กลับมาคืนได้ภายใน 30 วัน พร้อมกับกล่าวว่า "โทรศัพท์ไม่เพอร์เฟค ซึ่งถือเป็นความท้าทายสำหรับอุตสาหกรรมโทรศัพท์ และเราก็กำลังทำทุกอย่างอย่างดีที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้"

ดร. แลร์รี่ บาร์ตัน อดีตรองประธานด้านการบริหารจัดการในภาวะวิกฤต (Crisis Management) ของโมโตโรล่า กล่าวว่า "เมื่อลูกค้าตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับแบรนด์ คุณก็ต้องรีบออกมาแก้ไขภายใน 8 ชั่วโมงแรก แต่ดูเหมือนแอปเปิลจะลืมกฎสำคัญนี้"

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ไม่คิดว่า ปัญหานี้จะกระทบต่อภาพลักษณ์ของแอปเปิลในระยะยาว "ท้ายที่สุดแล้ว ลูกค้าจะแยกแยะผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ ซึ่งแอปเปิลเป็นบริษัทที่ปกป้องแบรนด์ของตนได้ดีมาก และเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จได้อย่างเหลือเชื่อ" เกลนน์ บันติ้ง กรรมการผู้จัดการบริษัท ไซทริก แอนด์ คอมพานี กล่าว

เขายังชี้ด้วยว่า แม้ไอโฟน 4 จะได้รับกระแสกดดันเชิงลบมากมาย แต่เป็นเรื่องยากที่ความโด่งดังของไอโฟน 4 จะซาลง "ครั้งล่าสุดที่ผมได้ตรวจสอบดู พบว่ายังมีรายชื่อผู้ที่รอจะได้เป็นเจ้าของ (waiting list) ไอโฟน 4 อยู่อีกเป็นจำนวนมาก"

ต้องติดตามดูว่าคำกล่าวของนักวิเคราะห์จะเป็นจริงหรือไม่ เมื่อ ไอโฟน 4 จ่อคิวขายในอีก 17 ประเทศ ซึ่งรวมถึง ออสเตรเลีย สิงคโปร์ อิตาลี ในวันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคมนี้ หลังจากที่ได้สร้างปรากฏการณ์มาก่อนหน้านี้แล้วในการวางจำหน่ายในญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ และสหรัฐอเมริกาเมื่อช่วงปลายเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ก่อนที่จะเปิดตัวใน 88 ประเทศภายในเดือนกันยายน

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แอปเปิล อิงค์ ได้เปิดเผยผลประกอบการช่วงเดือนเม.ย. — มิ.ย. ซึ่งเป็นไตรมาสสามของบริษัท ด้วยตัวเลขกำไรสุทธิที่พุ่งแรงถึง 78% แตะ 3.25 พันล้านดอลลาร์ โดยเป็นผลมาจากรายได้ที่กระโดดขึ้น 61% จากปีก่อน แตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1.57 หมื่นล้านดอลลาร์ หลังจากการเปิดตัวอย่างแข็งแกร่งของ ไอแพด ซึ่งขายได้แล้ว 3.27 ล้านเครื่องในช่วง 80 วันแรกของการเปิดตัว ขณะที่ไอโฟน 4 เจ้าปัญหา สามารถจำหน่ายได้ถึง 1.7 ล้านเครื่องในช่วง 3 วันแรก

สตีฟ จ๊อบส์ กล่าวว่า “นี่เป็นไตรมาสที่มหัศจรรย์เหนือความคาดหมายของเราทุกด้าน ซึ่งรวมถึง ไอโฟน 4 ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวได้ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ของแอปเปิล"

แอปเปิลคาดว่า บริษัทจะทำรายได้ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงไตรมาสเดือนก.ค. — ก.ย. ซึ่งปรับตัวขึ้นราว 50% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

นอกจากรายได้ที่พุ่งกระฉูดอย่างน่าอิจฉาแล้ว เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ยังนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปีค.ศ. 1989 ที่มูลค่าตลาด (market cap) ของแอปเปิลเพิ่มขึ้นแซงหน้าคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง ไมโครซอฟท์ อีกด้วย โดยเมื่อวันที่ 26 พ.ค. แอปเปิลได้ก้าวขึ้นครองบัลลังก์บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าตลาดรวมที่ 2.22 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ไมโครซอฟท์อยู่ที่ 2.19 แสนล้านดอลลาร์

ปิดท้ายด้วยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับโลโก้ของแอปเปิล ก่อนที่จะมาเป็นรูปผลแอปเปิลแหว่งสีเงินที่พวกเราคุ้นตากันในปัจจุบัน คุณทราบหรือไม่ว่า โลโก้แรกของแอปเปิลเป็นรูป เซอร์ ไอแซก นิวตัน นั่งอยู่ใต้ต้นแอปเปิล และมีโคลงของ William Wordsworth กวีเอกชาวอังกฤษ สลักเอาไว้ว่า "Newton... A mind forever voyaging through strange seas of though.... alone" พร้อมชื่อ Apple Computer Co. บนริบบิ้นซึ่งประดับอยู่ที่กรอบภาพ

อย่างไรก็ตาม โลโก้ดังกล่าวซึ่งออกแบบโดยจ๊อบส์ และ โรนัลด์ เวย์น ผู้ร่วมก่อตั้งแอปเปิลนั้น มีอายุใช้งานสั้นมาก โดยกราฟฟิกดีไซเนอร์ ร็อบ จานอฟฟ์ ได้มารับหน้าที่ออกแบบโลโก้ใหม่เป็นรูปผลแอปเปิลสีรุ้งที่ถูกกัดไปหนึ่งคำ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “rainbow apple" โดยมีเรื่องเล่าสนุกๆว่า โลโก้นี้ได้รับการออกแบบขึ้นเพื่อรำลึกถึงการค้นพบกฎแห่งแรงโน้มถ่วง และการค้นพบคุณสมบัติของแสงที่ว่า แสงสีขาวประกอบขึ้นจากแสงสีรุ้ง โดยเซอร์ ไอแซก นิวตัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ