หุ้น KSL พุ่ง 5.30% มาอยู่ที่ 13.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.70 บาท มูลค่าซื้อขาย 109.46 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.10 น. โดยเปิดตลาดที่ 13.80 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 14.00 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 13.70 บาท
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชียพลัส ปรับเพิ่ม Fair value ใหม่ปี 53/54 เป็น 17.60 บาท จากเดิม 11.04 และปรับเพิ่มคำแนะนำลงทุนเป็น"ซื้อ"หุ้นบมจ.น้ำตาลขอนแก่น(KSL) เนื่องจากราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกทำสถิติสูงสุดใหม่ 30.12 เซ็นต์/ปอนด์ โดยราคาหุ้น KSL ในปัจจุบันถือว่าได้สะท้อนปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งความล่าช้าของโครงการบ่อพลอยเฟส 1 และค่าใช้จ่ายในการย้ายโรงงานทีสูงกว่าคาด รวมถึงความผิดพลาดในการทำสัญญาขายล่วงหน้าในปี 2552/53 ไปมากแล้ว
ขณะที่ทิศทางธุรกิจในปี 2553/54 ที่จะพลิกฟื้นกลับมาเติบโตอย่างมีนัยฯ โดยเฉพาะราคาน้ำตาลที่เป็นปัจจัยกระตุ้นหลักในขณะนี้ จะเป็นปัจจัยบวกที่มีน้ำหนักที่ช่วยผลักดันให้ราคาหุ้นกลับมา outperform ตลาดฯ ได้ในระยะ 2-3 เดือนข้างหน้า
ทั้งนี้ สถานการณ์ราคาน้ำตาลทรายดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก โดยล่าสุดราคาในตลาดล่วงหน้า ส่งมอบเดือน มี.ค.54 ปรับตัวขึ้นมาที่ระดับ 30.12 เซ็นต์/ปอนด์ ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าระดับราคาสูงสุดเดิมที่ 29.90 เซ็นต์/ปอนด์ในเดือน ม.ค.53
เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ Supply น้ำตาลทรายในตลาดโลกที่จะลดต่ำลงกว่าเดิมที่เคยประเมินไว้ โดยในหลายประเทศที่เป็นผู้ผลิตน้ำตาลทรายรายใหญ่ของโลกต้องเผชิญกับปัญหาภัยพิบัติทั้งน้ำท่วมและภาวะแห้งแล้ง รวมถึงไทยที่มีปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในภาคกลางและตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกอ้อยที่สำคัญ ทำให้คาดว่า Supply น้ำตาลทรายทั่วโลกในปี 53/54 จะออกสู่ตลาดอย่างจำกัด และจะอยู่ในภาวะเกินดุลลดลงเหลือเพียง 3.22 ล้านตัน จากเดิมที่คาดว่าจะเกินดุลถึง 5.17 ล้านตัน ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้คาดว่า Supply ของน้ำตาลทรายในตลาดโลกจะยังเพิ่มขึ้นอย่างจำกัด
ในสถานการณ์เช่นนี้ถือว่าจะเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาลทรายในไทยโดยเฉพาะ KSL ซึ่งได้ทยอยทำสัญญาขายน้ำตาลทรายล่วงหน้าสำหรับปีผลผลิต 2553/54 ไปแล้วกว่า 50% เพื่อตรึงราคาขายไว้ในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลบวกต่อการฟื้นตัวของรายได้และกำไรสุทธิปี 2553/54 ให้ฟื้นตัวอย่างมีนัยฯ จากที่ตกต่ำไปมากในปีที่ผ่านมา
ฝ่ายวิจัยคาดแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2553/54 ของ KSL จะพลิกฟื้นกลับมาเติบโตอย่างมีนัยฯ สู่ระดับ 1.01 พันล้านบาท หรือเติบโตกว่า 4 เท่าตัวจากปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยบวกหนุนทั้งจากปริมาณและราคาน้ำตลาดทรายที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยในส่วนของปริมาณขายคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น 11% yoy จากโครงการบ่อพลอยเฟส 1 ที่จะเริ่มเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ตั้งแต่เดือน ธ.ค.53 เป็นต้นไป (มีกำลังการหีบอ้อยเท่ากับ 1.4 หมื่นตัน/วัน จากกำลังการหีบอ้อยในปัจจุบันที่ 6.2 หมื่นตัน/วัน ส่วนเฟส 2 จะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปี 54/55 ซึ่งจะทำให้กำลังการหีบอ้อยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีกราว 18% yoy) อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์ต่อยอดซึ่งได้แก่ เอทานอลและไฟฟ้าที่เพิ่มเข้ามาด้วย
ขณะที่ในส่วนของราคาขายเฉลี่ยจะได้รับผลบวกจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่เป็นทิศทางขาขึ้นและทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยฝ่ายวิจัยได้ปรับเพิ่มสมมติฐานราคาขายน้ำตาลเฉลี่ยในปี 2553/54 ขึ้นเป็น 27 เซ็นต์/ปอนด์ (เพิ่มขึ้นจาก 21 เซ็นต์/ปอนด์ ในปี 2552/53) และให้ลดลงระดับลงเหลือ 20 เซ็นต์/ปอนด์ในปี 2554-55 เป็นต้นไป ส่งผลให้แนวโน้มการเติบโตของกำไรสุทธิปี 2553/54-55 เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 49% และ 16% ตามลำดับ