(เพิ่มเติม) TPC คาดรายได้-กำไร Q4/53 ดีตามสเปรด-วอลุ่มขาย,ปี 54 รายได้โต 15-20%

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 9, 2010 17:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์(TPC)คาดว่ารายได้และกำไรของบริษัทในช่วงไตรมาส 4/53 จะออกมาดีกว่าไตรมาส 3/53 ตามส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และปริมาณขายที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้ทั้งปี 53 รายได้ของบริษัทน่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย 2.6 หมื่นล้านบาท สูงกว่าปี 52 ที่มีรายได้ 2.2-2.4 หมื่นล้านบาท แต่ในแง่ของกำไรสุทธิน่าจะทำได้ใกล้เคียงปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า

ส่วนปี 54 คาดว่ารายได้จะเติบโต 15-20% หลังจากโรงงานที่ประเทศเวียดนามกลับมาเดินเครื่องผลิตได้เต็มที่ และโครงการลงทุนในมาบตาพุดที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตน่าจะได้ผ่านขั้นตอนการพิจารณาและเริ่มเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในกลางปีหน้า ส่วนกำไรรักษาใกล้เคียงปีนี้หลังมองบาทแนวโน้มยังแข็งค่าต่อไปอีก ขณะที่บริษัทย่อยมีแผนลงทุนราว 500 ล้านบาทเพื่อขยายการผลิตสินค้าสำเร็จรูป

นายคเณศ ขาวจันทร์ กรรมการผู้จัดการ TPC กล่าวว่า รายได้และกำไรในไตรมาส 4/53 จะดีกว่าไตรมาส 3/53 หลังจากสเปรด PVC ปรับเพิ่มขึ้นในปัจจุบันมาที่ 500 เหรียญ/ตัน จากเดิมอยู่ที่ 400 เหรียญ/ตัน โดยราคาปรับขึ้นมาที่ 1 พันเหรียญ/ตัน จากไตรมาส 3/53 อยู่ที่ 900 เหรียญ/ตัน รวมทั้งปริมาณขายมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น

ส่วนรายได้ทั้งปี 53 จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ หลังจากราคา PVC ในปีนี้มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และช่วงไตรมาส 4/53 ปกติถือเป็นช่วงโลว์ซีซั่น แต่ขณะนี้ทางประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ได้ลดสัดส่วนการผลิตลง เนื่องจากถูกรัฐบาลควบคุม จึงทำให้สินค้าในช่วงนี้ขาดตลาด ส่งผลให้ราคากลับมาอยู่ในระดับที่ทรงตัว จากปกติที่จะต้องลดลง ซึ่งบริษัทได้รับประโยชน์จากจุดนี้

ประกอบกับ ในปีนี้ประเทศไทยประสบกับปัญหาอุทกภัย ทำให้มีความต้องการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ส่งผลดีต่อสินค้าของบริษัทที่ทำไปใช้ผลิตวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้าน เช่น กรอบประตู หน้าต่าง และ ท่อน้ำ เป็นต้น กลับมาขายดีอีกครั้ง รวมทั้ง ช่วงไตรมาส 4/53 จะเริ่มมีการสต็อกสินค้าเพื่อรองรับฤดูกาลขายในช่วงต้นปี 54

แต่ในด้านกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในปี 53 คาดว่าจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีกำไรประมาณ 1.8 พันล้านบาท ซึ่งการที่กำไรไม่ได้เติบโตขึ้นตามรายได้ เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น

นายคเณศ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 54 เติบโต 15-20% จากกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น หลังจากโรงงานในเวียดนามกลับมาเดินเครื่องได้เต็มที่ทั้งปี ส่วนโรงงานที่มาบตาพุดคาดว่าจะปลดล็อคและเดินเครื่องได้ในช่วงกลางปีหน้า ขณะที่ในแง่ของกำไรจะพยายามรักษาให้ใกล้เคียงกับปีนี้ เนื่องจากมองว่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าต่อ

"ปีนี้บาทเฉลี่ยอยู่ที่ 30 บาท/ดอลลาร์ ปีหน้าน่าจะเห็นที่ 28-29 บาท/ดอลลาร์ เราก็จะพยายามรักษากำไรให้คงที่ และต้องมีการเพิ่มวอลุ่มให้มากขึ้น พยายามรักษาปันผลให้ผู้ถือหุ้นสม่ำเสมอ นโยบายของบริษัทจะจ่ายไม่ต่ำกว่า 50-60% ของกำไรสุทธิ"นายคเณศ กล่าว

สำหรับในปีหน้า บริษัท นวพลาสติก ซึ่งเป็นบริษัทลูก จะมีการลงทุนราว 500 ล้านบาท เพื่อผลิตสินค้าสำเร็จรูปจาก PVC โดยจะแบ่งเป็นการใช้ขยายการผลิตอุปกรณ์ข้อต่อประมาณกว่า 100 ล้านบาท และผลิตไม้เทียม 200 กว่าล้านบาท ส่วนที่เหลือจะเป็นการผลิตสินค้าขึ้นรูปประมาณกว่า 200 ล้านบาท

ในวันนี้ TPC เปิดตัว PVC เกรดใหม่มีคุณสมบัติเฉพาะทางภายใต้แบรนด์ TRUZT ซึ่งเป็นสินค้าระดับ Premium ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงหรือ HVA (High Value Added) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มโอกาสทางการค้า และรักษาความเป็นผู้นำให้ยั่งยืน โดย TPC มีเป้าหมายของการสร้างแบรนด์ TRUZT เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของสินค้าในกลุ่มให้มีความพิเศษแตกต่างจากสินค้าเกรดปกติทั่วไป

สินค้าภายใต้แบรนด์ TRUZT นั้น TPC ได้มีการแบ่งสินค้าออกเป็น 2 กลุ่มตามคุณสมบัติพิเศษ คือ กลุ่มที่ 1 เป็นพีวีซีเกรดที่มีประสิทธิภาพสูง (Performance Grade) นำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต สินค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ หลากหลายประเภท เช่น อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ทนแรงดึงสูงยืดหยุ่นคล้ายยาง, อุตสาหกรรมสายไฟ สายเคเบิ้ลคุณภาพสูง แผ่นฟิล์มฉลากสินค้า ที่ต้องการผลิตภัณฑ์คุณภาพผิวดี เรียบเนียน และกลุ่มสินค้า บัตรเครดิต แพ็คเกจจิ้งของยา ที่ต้องการคุณสมบัติขึ้นรูปที่อุณหภูมิต่ำ และพิมพ์ติดสีได้ดี

กลุ่มที่ 2 เป็นพีวีซีเกรดพิเศษที่ใช้ในงานทางด้านสุขภาพ (Health Care Grade) ที่ต้องมีการควบคุมกระบวนการผลิตอย่างเคร่งครัดตั้งแต่วัตถุดิบตั้งต้น กระบวนการผลิต ตลอดจนถึงกระบวนการตรวจสอบคุณภาพ เพื่อให้ได้พีวีซีมีความบริสุทธิ์สูง สำหรับผลิตเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น สายน้ำเกลือ, ชุดฟอกเลือด, ชุดฟอกไต และชุดบริจาคเลือด

นายคเณศ กล่าวว่า ปัจจุบันลูกค้าภายในประเทศยอมรับมากกว่า 80% แล้ว และกำลังขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่จะใช้เวลาในการทดสอบพัฒนาร่วมกับลูกค้า 1-2 ปี จนผลิตภัณฑ์เป็นไปตามความต้องการของลูกค้า คาดว่าจะเพิ่มผลกำไรให้กับบริษัทฯ ในอีก 5 ปีข้างหน้านี้กว่า 100 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ