SCC รับเล็งขายหุ้น PTTCH ที่เหลืออยู่อีก 4.42% รอจังหวะเหมาะสม

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 21, 2010 18:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC) กล่าวว่า บริษัทฯ มีแผนจะขายหุ้นที่ถืออยู่ใน บมจ.ปตท.เคมิคอล(PTTCH) ซึ่งเหลืออยู่อีกจำนวน 66,999,927 หุ้น หรือคิดเป็น 4.42% โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอดูสถานการณ์ที่เหมาะสม เนื่องจากเห็นว่าการถือหุ้นของบริษัทฯ ใน PTTCH เป็นการถือหุ้นส่วนน้อยไม่ได้มีผลต่อการบริหาร ประกอบกับบริษัทฯ มีแผนจะนำเงินดังกล่าวไปใช้ในการลงทุนต่างๆ ที่เป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ ทั้งในประเทศและในภูมิภาคต่อไป

อนึ่ง เมื่อต้นเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ทำการเสนอขายหุ้นสามัญเดิมที่ถืออยู่ใน PTTCH ไปแล้วจำนวน 236,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นประมาณ 15.59% ในราคา 140 บาทต่อหุ้นให้แก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศในวงจำกัดแบบข้ามคืนผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นายกานต์ ยืนยันว่า แม้จะขายหุ้นออกไปทั้งหมดก็จะไม่มีผลกระทบกับสัญญาซื้อขายวัตถุดิบ(Off-Take Agreement) จาก PTTCH เพื่อใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ปลายน้ำของบริษัทฯ

สำหรับการลงทุนในปีหน้าของเครือซิเมนต์ไทย คาดว่า จะมีการลงทุนมากกว่าปีนี้ที่มีการลงทุนเป็นมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยเป็นการขยายการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศในธุรกิจหลักของบริษัทฯ ทั้งปิโตรเคมี ซิเมนต์ วัสดุก่อสร้าง และ กระดาษ

ในปีหน้าคาดว่าจะสามารถสรุปการลงทุนในการก่อสร้างโรงงานปูนซิเมนต์ในประเทศอินโดนีเซียได้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา ซึ่งจะเป็นการลงทุนเพื่อก่อสร้างโรงงานปูนซิเมนต์โรงใหม่ เพื่อขายในประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากตลาดปูนซิเมนต์ในอินโดนีเซียยังมีการเติบโตที่ดี โดยกำลังการผลิตจะเป็นเท่าไรและจะใช้เงินลงทุนเท่าไรนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณา

ส่วนการลงทุนในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในประเทศเวียดนาม ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการจัดหาแหล่งเงินกู้ ซึ่งมีความยากลำบาก และต้องใช้เวลาในการเจรจา เนื่องจากโครงการนี้เป็นโครงการใหญ่

นายกานต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีหน้าจะเน้นการลงทุนในเรื่องการลดต้นทุนการผลิต และการรักษาสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น เพราะต้นทุนวัตถุดิบปิโตรเคมีมีราคาสูงขึ้น เช่น แนฟธา ซึ่งราคาเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เพราะราคาสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่คงไม่ถึง100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยเครือซิเมนต์ไทยต้องใช้เงินในการซื้อแนฟธาเพื่อมาเป็นวัตถุดิบปิโตรเคมีประมาณ 5 ล้านตัน คิดเป็นเงิน 4 พันล้านบาท ซึ่งหากราคาแนฟธาสูงขึ้นอีกก็อาจจะต้องใช้เงินซื้อวัตถุดิบเพิ่มขึ้น รวมทั้งถ่านหินซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสำคัญสำหรับธุรกิจปูนซิเมนต์ก็มีราคาสูงขึ้นด้วย โดยจะต้องนำเข้ามาใช้ในปีหน้าประมาณ 3 ล้านตัน ดังนั้นจึงได้มีการซื้อล่วงหน้าไว้แล้วทำให้ราคาไม่สูงมากนัก

ส่วนปัญหาเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นอาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทฯ โดยคาดว่าในช่วงปลายปีหน้ามีโอกาสที่ค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 28-29 บาท/ดอลลาร์ ทำให้มีรายได้ลดลง โดยเห็นว่าระดับที่เหมาะสมคือ 32 บาท/ดอลลาร์ ดังนั้นควรมีการทำประกันความเสี่ยงค่าเงินบางส่วนล่วงหน้าจาก 12 เดือน เป็น 18 เดือน เพื่อรองรับความผันผวนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2554 มีโอกาสที่จะขยายตัวได้ถึง 5% เนื่องจากการส่งออกเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น สถานการณ์ทางการเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ การเลือกตั้งจะเรียบร้อย ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นตามไปด้วย รวมถึงนักท่องเที่ยวก็เริ่มกลับมาในไทยแล้ว ประกอบกับประเทศไทยมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดี ทำให้นักลงทุนยังให้ความสนใจที่จะลงทุนในไทย และการที่ประเทศญี่ปุ่นอาจจะมีการชะลอตัวทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้อาจจะมีการย้ายฐานการลงทุนสำหรับธุรกิจขนาดกลาง และเล็ก มายังภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ