SPACK คาดปี 54 แนวโน้มต้นทุนกระดาษพุ่งกดกำไร แม้ตั้งเป้ารายได้โต 10%

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday March 4, 2011 11:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอส.แพ็ค แอนด์ พริ้นท์ (SPACK)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า แนวโน้มกำไรสุทธิในปีนี้อาจจะไม่ดีกว่าปี 53 ที่มีกำไรสุทธิ 125.78 ล้านบาท แม้ว่าบริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตราว 10% จากปีก่อน เนื่องจากในปีนี้บริษัทคาดว่าจะเผชิญกับปัญหาแนวโน้มราคาวัตถุดิบแพงขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน ขณะที่วัตถุดิบในสต็อกเดิมเริ่มจะหมดลงไปเรื่อย ๆ

"กำไรสุทธิปี 54 ไม่น่าจะดีกว่าปี 53 เพราะวัตถุดิบแพงขึ้น เพราะถ้า 3 เดือนแรกราคาวัตถุดิบปรับขึ้นเฉลี่ย 5% บางที 3 เดือนต่อไปอาจจะปรับขึ้นมากกว่านี้ เพราะแนวโน้มราคากระดาษยังเป็นขาขึ้น...แนวโน้มกำไรปีนี้น่าจะลดลงจากปีก่อนเพราะวัตถุดิบปรับขึ้น" นายยุทธ กล่าว

สำหรับการตั้งเป้ารายได้ในปี 54 เติบโตจากปีก่อน เป็นไปตามทิศทางการส่งออกที่คาดว่าจะได้รับผลดีจากเศรษฐกิจโลกที่น่าจะขยายตัวดีขึ้น ซึ่งผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ส่วนใหญ่ส่งให้กับผู้ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก

"เศรษฐกิจโลกปีนี้ที่จะดีขึ้นเล็กน้อย เพราะเราจะส่งออกได้ก็ต่อเมื่อสินค้าที่เราบรรจุเข้าไปขายดี เช่น กล่องทีวี เครื่องเสียง หรือที่เป็นสินค้าส่งออกของไทยทุกอย่างที่ขายดี กล่องเราก็โตตามไปด้วย เพราะเราทำตามคำสั่งของลูกค้า"นายยุทธ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ก็ยังถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยง เช่นเดียวกับราคาน้ำมัน หากครึ่งปีหลังราคาน้ำมันปรับขึ้นอีกหรือเศรษฐกิจทั่วโลกทรุดลงไปอีกก็อาจจะทำให้บริษัทได้รับผลกระทบ เพราะบริษัทได้ทำประมาณการรายได้ในปีนี้บนคาดการณ์ราคาน้ำมันที่ 80-85 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่ขณะนี้ราคาน้ำมันปรับขึ้นมาที่ 100 กว่าเหรียญสหรัฐ/บาร์เรลแล้ว อาจจะกระทบความสามารถในการซื้อของต่างประเทศ

"ปัจจัยเสี่ยงปีนี้กังวลเศรษฐกิจโลกจะไม่ค่อยดี ถ้าราคาพลังงานแพงเกินไปก็กระทบเศรษฐกิจโลก เพราะ 2 ปีที่แล้วพลังงานขึ้นไป 140 กว่าเหรียญฯก็ทำให้เศรษฐกิจอเมริกามีปัญหาเหมือนกัน ปีนี้ก็รู้สึกจะมาอีกแล้ว"นายยุทธ กล่าว

นอกจากนั้น ต้นทุนกระดาษ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญก็ปรับขึ้นตามราคาน้ำมัน โดยตั้งแต่เดือน ม.ค.54 เป็นต้นมา ราคาน้ำมันปรับขึ้นเฉลี่ย 5% ขณะที่วัตถุดิบในสต็อกเดิมที่บริษัทมีอยู่ก็หมดไปเรื่อยๆ ซึ่งบริษัทคงไม่เปลี่ยนวัตถุดิบไปใช้อย่างอื่น เพราะชำนาญแต่การผลิตบรรจุภัณฑ์จากกระดาษ หากต้นทุนสูงขึ้นก็คงต้องใช้วิธีเจรจากับลูกค้าเป็นรายๆไป

"รายได้ปีนี้ก็ไม่แน่ ถ้าความต้องการทั่วโลกลดน้อยลง ลูกค้าของเราจะเป็นอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมถุงมือยาง เป็นหลัก ซึ่งตอนนี้ถุงมือยางไม่ดีเพราะน้ำยางแพงเกินไป ผลผลิตไม่คุ้มก็ทำน้อยลง และขึ้นอยู่กับวัตถุดิบถ้าวัตถุดิบแพงเกินไปก็ไม่มีคนซื้อ"นายยุทธ กล่าว

ทั้งนี้ บมจ.ศรีตรังแอโกรอิสดัสทรี(STA) เป็นลูกค้าหลักของบริษัท

นายยุทธ เปิดเผยว่า แนวโน้มรายได้ไตรมาส 1/54 โดยรวมน่าจะใกล้เคียงกับงวดเดียวกันปีก่อน เพราะช่วง 2 เดือนนี้โดยรวมไม่ค่อยดีกำลังซื้อยังมีไม่มาก แต่คาดว่าจะดีขึ้นในไตรมาส 3/54 เป็นต้นไป ซึ่งเข้าสู่ฤดูกาลส่งออก โดยสัดส่วนรายได้ปีนี้มาจากลูกค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า 35% ถุงมือยาง 25% อาหารและเครื่องดื่ม 20% ที่เหลือเป็นกลุ่มอุปกรณ์รถยนตฺ์

"ถึงแม้อุตฯรถยนต์จะโตแต่ไม่ใช่ส่วนใหญ่ของเรา เราทำแต่ชิ้นเล็กๆ ส่วนถุงมือยางปีก่อนดี แต่ปีนี้ก็ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบ น้ำยางแพงเกินไปก็ขายไม่ออก ก็อาจจะหาอย่างอื่นมาแทน เช่น น้ำมันปาล์มแพงไปก็กินน้ำมันถั่วเหลือง"นายยุทธ กล่าว

นายยุทธ กล่าวอีกว่า งบลงทุนที่เตรียมไว้ในปีนี้ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาทำแผนงานซึ่งจะเป็นเครื่องจักรผลิตบรรจุภัณฑ์ประเภทกล่องกระดาษเช่นเดิม เป็นการผลิตทำตามคำสั่งของลูกค้า คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ