นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ.ปตท.(PTT)กล่าวว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิในประเทศญี่ปุ่นทำให้บริษัทได้รับประโยชน์ในระยะสั้นจากค่าการกลั่น รวมทั้งราคาขายดีเซลและน้ำมันเตาปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากซัพพลายลดลง แต่ขณะนี้กำลังการกลั่นทั่วโลกกำลังกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ดีมานด์และซัลพพลายใกล้เคียงกันแล้ว
อย่างไรก็ตาม ปตท.มองว่าในระยะยาวอาจจะได้รับผลกระทบในทางลบ หากภาคอุตสาหกรรมในญี่ปุ่นหยุดชะงักอาจจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันและปิโตรเคมี โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมลดลง และหากราคาน้ำมันยังสูงเกินไป ก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ที่ทำให้สหรัฐฟื้นตัวได้ช้าลงไปอีก ขณะที่รัฐบาลจีนเองก็ต้องการชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจประเทศ
"ระยะสั้นกลุ่มปตท.ได้ประโยชน์ แต่ถ้าผลกระทบของญี่ปุ่นลากยาวไป ก็จะส่งผลให้ความต้องการในอุตสากรรมลดลงไปได้ ในระยะยาวก็ต้องดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เราไม่ชอบราคาน้ำมันสูง วันนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบขึ้นไป 110 เหรียญแล้ว"นายเทวินทร์ กล่าว
นายเทวินทร์ กล่าวอีกว่า ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยที่นำเข้าอยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สูงกว่าปีก่อนที่อยู่ต่ำกว่า 80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยปีที่แล้วมีปริมาณนำเข้า 7 แสนล้านบาร์เรล มูลค่า 2.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หากราคายังคงทรงตัวสูงจนถึงสิ้นปี ก็คาดว่ามูลค่าการนำเข้าก็น่าจะใกล้ 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ สูงกว่าปีก่อน 20-30% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อดุลการค้าของประเทศ
อย่างไรก็ตาม กลุ่ม ปตท.ยังมีการนำเข้าน้ำมันดิบจากกลุ่มตะวันออกกลางถึง 70% คือ ซาอุดิอาราเบีย อิรัก อิหร่าน คูเวต และสหรัฐอาหรับเอมิเรต และมองว่าโอกาสกลุ่มประเทศเหล่านี้จะเกิดเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองคงมีไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม บริษัทก็พยายามจึดหาแหล่งน้ำมันดิบอื่นแทนตะวันออกกลาง ได้แก่ อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย
พร้อมทั้งพยายามสร้างเครือข่ายกับผู้ผลิตอื่น และเทรดเดอร์ รวมทั้งพยายามหาแหล่งน้ำมันดิบและก๊าซอื่น ๆ ในต่างประเทศที่ปตท.ก็เข้าไปลงทุน นอกจากนั้น รวมทั้งสร้าง infrastructure เช่น FLNG ซึ่งจะทำให้สามารถหาแหล่งก๊าซได้ไกลขึ้น และยังกระจายการลงทุนไปในโรงไฟฟ้า ขณะนี้อยู่ระหว่างการมองหาการลงทุนโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม เพื่อกระจายความเสี่ยง