(เพิ่มเติม) ผู้ว่า ธปท.รับเงินเฟ้อพื้นฐานมีโอกาสเกิน 3% ใน Q4/54 จากราคาสินค้าสูง

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 22, 2011 13:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายประสาร ไตรรัตน์วรรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่า ในช่วงไตรมาส 4/54 มีความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอาจจะสูงเกิน 3.0% ได้ เนื่องมาจากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น จากกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อในปี 54 อยู่ที่ 0.5-3.0% ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ ธปท.ได้พิจารณา

ทั้งนี้ การดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท.ในช่วงที่ผ่านมามีการนำบทเรียนจากอดีต มาใช้และได้มีการวางกรอบนโยบายการเงินให้มีความโปร่งใสมากขึ้น โดยได้มีการกำหนดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ซึ่งทุกปีคณะกรรมการนโยบายการเงิน จะเสนอกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อต่อ รมว.คลัง

ส่วนการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยเพื่อดูแลเงินเฟ้อจะเห็นผลต้องใช้เวลาพอสมควร และจะเห็นผลเต็มที่โดยใช้ระยะเวลา 6-8 สัปดาห์ ดังนั้น สิ่งที่ ธปท.ดำเนินการ จะมีการอธิบายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้เข้าใจเพื่อรอการเห็นผลในระยะต่อไปว่า ธปท.ยังอยู่ในสถานะในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และพร้อมรักษากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อและจะไม่เปลี่ยนกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อในปีนี้ เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่น

สำหรับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้ ผู้ว่า ธปท. มองว่ายังไม่กระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจไทย เพราะราคาน้ำมันยังปรับสูงขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับอดีตที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเร็ว ขณะที่โครงสร้างการผลิตที่อาศัยพึ่งพาน้ำมันแตกต่างไปจากเดิม เป็นการพึ่งพาน้ำมันโลกน้อยกว่าในอดีต ดังนั้น จากการประเมินราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นขณะนี้ยังปรับสูงไม่มาก และไม่น่าจะเป็นอุปสรรคของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย

แต่อย่างไรก็ตาม หากราคาน้ำมันดิบดูไบปรับสูงขึ้นอยู่ระดับเกินกว่า 130 เหรียญ/บาร์เรล จะมีผลให้มูลค่านำเข้าสูงขึ้นจะมีผลต่อดุลการชำระเงินจะเปลี่ยนจากเกินดุลไปเป็นสมดุลหรือขาดดุลได้ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหนึ่งที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจไทย แต่ไม่ถึงระดับอันตราย

ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ธปท.จะมีการประเมินภาวะเงินเฟ้อจากปัจจัย 4 ด้าน คือ 1.อุปทานจากราคาน้ำมันและอาหารที่ปรับสูงขึ้น 2.อุปสงค์ จากการฟื้นตัวของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศทั้งในระดับสากลและภายในประเทศ 3.สภาพคล่องในตลาดการเงินโลกและสภาพคล่องภายในประเทศที่จะสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ 4.การคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่เกิดจากการคาดว่าราคาต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นจะนำไปสู่การตั้งราคาขายสินค้าสูงขึ้น

"กนง.ให้ความสำคัญทั้ง 4 ปัจจัย โดยเฉพาะปัจจัยที่ 4 ที่หากคิดว่าเงินเฟ้อสูงขึ้น กนง.ก็ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการและผู้บริโภคว่าเงินเฟ้อจะลดลงและรักษาเสถียรภาพไม่ให้เงินเฟ้อสูงเกิดไป เพื่อลดแรงกดดันจากการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะสูงขึ้น" ผู้ว่า ธปท. กล่าว

ด้านนโยบายของรัฐบาลที่ประกาศจะมีการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำและปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล จะมีผลต่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น นายประสาร มองว่า หากรัฐบาลสามารถปรับขึ้นค่าแรงงาน พร้อมกับการเพิ่มผลิตภาพ(Productivity) ซึ่งจะเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ จะไม่ทำให้เกิดอำนาจซื้อเกินอุปทาน และเป็นการสร้างความสมดุลทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน ไม่ได้มีผลในการสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น แต่หากเพิ่มค่าแรงงานเพียงเพียงด้านเดียวจะเป็นการทำให้เกิดอำนาจซื้อเกินอุปทาน

การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบประเทศอื่นในภูมิภาค หากรัฐบาลต้องการดึงดูดให้เกิดการลงทุนมากขึ้น เพื่อลดความเสียเปรียบ การลดอัตราภาษีต้องทำควบคู่กับการขยายฐานภาษี เพื่อไม่ให้การจัดเก็บภาษีเงินได้ของรัฐบาลลดลงจากที่เคยเป็น และช่วยให้ฐานะการคลังมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และไม่สร้างปัญหา

ขณะที่ผลกระทบจากปัญหาภัยพิบัติของประเทศญี่ปุ่น มองว่าขณะนี้แรงกกดันต่ออัตราแลกเปลี่ยนต่อเงินบาทเมื่อเทียบเงินเยนลดลง หลังจากที่ผ่านมามีความผันผวนพอสมควร เนื่องจากเดิมคาดการณ์ว่าบริษัทประกันของญี่ปุ่นอาจจำเป็นต้องมีการขายพันธบัตรสกุลเงินต่างประเทศเพื่อนำเงินกลับประเทศมาชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงกดดันให้เงินบาทแข็งค่า

แต่ในความเป็นจริง บริษัทประกันในญี่ปุ่นมีพันธบัตรสกุลเงินเยนมากพอสมควร ประกอบกับ บริษัทประกันบางแห่งมีการทำประกันภัยต่อ ซึ่งหากมูลค่าความเสียหายมากเกิดขีดจำกัด รัฐบาลญี่ปุ่นจะเข้ามาชดเชยความเสียหายให้ ทำให้แรงกดดันให้เงินเยนแข็งค่าไม่มีมากเท่าที่คาดการณ์ อีกทั้งกลุ่มประเทศ G7 จะดูแลไม่ให้เงินเยนแข็งค่าเกินไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ในระยะต่อไปยังมีปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าเงินบาทที่จะแข็งค่าหรืออ่อนค่าเมื่อเทียบกับเยน โดยหากธุรกิจในประเทศต้องส่งเงินปันผลกลับบริษัทแม่ก็จะทำให้เงินบาทอ่อนค่า แต่หากไทยมีการส่งออกสินค้าไปญี่ปุ่นจำนวนมาก และมีการกลับเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้น ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อค่าเงินบาท แต่ปัจจัยทั้งหมดไม่ได้มีผลต่อค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ หากเงินบาทเคลื่อนไหวตามศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวปาถกฐาพิเศษเรื่อง Living with Capital Flows:A Delicate Balancing Act ในงานสัมมนา The 5th Annaul Euromoney Thailand Investment Forum ว่า การที่มีเงินทุนไหลเข้าประเทศถือเป็นเรื่องดีซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ แต่การที่มีเงินทุนไหลเข้าในจำนวนมากเกินไป ก็จำเป็นต้องมีมาตรการควบคุม ซึ่งจะนำมาใช้เมื่อจำเป็นและเป็นมาตรการชั่วคราวเท่านั้น เพราะการเข้าดูแลเงินทุนไหลเข้าย่อมมีต้นทุน และมีผลกระทบข้างเคียงได้

"การใช้มาตรการควบคุมเงินไหลเข้า จะมีผลข้างเคียง หากใช้มาตรการที่อ่อนเกินไปก็ไม่มีประโยชน์ หากใช้แรงก็มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่น" ผู้ว่า ธปท. กล่าว

สำหรับการใช้นโยบายดอกเบี้ย ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการดูแลเงินเฟ้อ แต่มักมีการเรียกร้องให้ใช้นโยบายดอกเบี้ยเพื่อเข้าดูแลเงินทุนไหลเข้า ซึ่งมองว่าการใช้เพียงเครื่องมือเดียวในหลายวัตถุประสงค์ อาจจะไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ เพราะนโยบายดอกเบี้ยจะใช้ในการดูแลเสถียรภาพด้านราคาไม่ใช่เพื่อดูแลเงินทุนไหลเข้า และหากดอกเบี้ยในประเทศไม่ได้แตกต่างจากต่างประเทศก็ไม่ได้มีผลต่อเงินทุนไหลเข้าออก เพราะปัจจุบันเงินทุนที่ไหลเข้ามาจากศักยภาพเศรษฐกิจของประเทศ และนักลงทุนต่างประเทศมีความกล้าที่จะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น จากเดิมที่นิยมลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐ

"กอกเบี้ยนโยบายที่ค่อยๆปรับขึ้น ไม่ได้มีผลทำให้มีเงินไหลเข้าประเทศ สาเหตุที่เงินไหลเข้ามาจากความแตกต่างของเศรษฐกิจมากกว่า ...เงินเฟ้อเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจขณะนี้ และการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นสิ่งจำเป็น ผลคิดว่ามีผลกระทบไม่มาก" ผู้ว่า ธปท. กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ