นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต เปิดเผยว่า ในปี 54 บริษัทตั้งเป้ามีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ที่ 105,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่ AUM อยู่ที่ 93,596 ล้านบาท โดยยังเน้นเป็น mutual fund ทั้งจากกองทุนเดิม และกองทุนใหม่ ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 30%จากปีก่อนที่มีจำนวน 80,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะเป็นกองทุนส่วนบุคคล และกองทุนหุ้น
และ ปี 55 คาดว่า AUM ของบริษัทจะเพิ่มเป็น 200,000 ล้านบาท
ทั้งนี้หลังการควบรวมกิจการของธนาคารธนชาต และธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) จะทำให้บริษัทขายกองทุนได้เพิ่มขึ้น และทำให้บริษัทมีศักยภาพและสร้างผลตอบแทนการลงทุนในอัตราที่สูงขึ้นได้ โดยการควบรวมกิจการจะมีความชัดเจนในอีก 2 เดือนข้างหน้า
"ตอนนี้เรื่องการควบรวมกิจการ รอเพียงแต่ความชัดเจนของผู้ถือหุ้นแต่ละแห่งว่าจะจัดการอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ต้องใช้เวลา ที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าไปช่วยดูในเรื่องของกองทุน แต่หลังการควบรวมเสร็จสิ้นจะทำให้เรามีเครือข่ายที่มากขึ้นผ่านเครือข่ายสาขาธนาคารนครหลวงไทยที่มี 420 แห่ง และธนาคารธนชาต 250 แห่ง" นายบุญชัย กล่าวด้านนายตระกูลจิตร จิตตไสยะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในปีนี้ มีแนวโน้มเห็นดัชนีเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1,200 จุด ภายใต้ P/E 12-13 เท่า หรือเติบโตจากปีก่อน 15-20% เนื่องจากความสามารถในการทำกำไรของ บจ.ที่มากขึ้น รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่เติบโตได้ดี ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจเมื่อเทียบตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรป
อย่างไรก็ตาม ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปีนี้อาจมีความผันผวน 50-100 จุด ตามสภาพคล่องในประเทศและทั่วโลก แต่นักลงทุนต่างประเทศยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะหลังการจัดงานไทยแลนด์โฟกัส ทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความสนใจในตลาดหุ้นไทย และ บจ.ไทยมากขึ้น เนื่องจากยังมีแนวโน้มเติบโตที่ดี โดยหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ คือ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และธนาคารพาณิชย์
"ตอนนี้บริษัทให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นและ commodity มากกว่า bond เพราะดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งที่ผ่านมากองทุนลงทุนในหุ้น ให้ผลตอบแทนถึง 40% แต่ทองคำ น้ำมัน ยังลงทุนได้อยู่ เพราะผลตอบแทนในปีนี้ยังดี" นายตระกูลจิตร กล่าวและการที่ตลาดหุ้นยังมีมุมมองเชิงบวก ทำให้บริษัทเตรียมออกกองทุนลงทุนหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการลงทุนของลูกค้า เพราะยังให้ผลตอบแทนที่ดี