นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า บริษัทจะเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ อะกริคัลเจอร์ ฟันด์ (KT-AGRI) ระหว่างวันที่ 12 -25 พฤษภาคม 2554 ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิในกองทุนรวมหลัก BlackRock World Agriculture Fund บริหารโดย BlackRock Inc. บริษัทจัดการลงทุนที่มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงถึง 3.56 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (ข้อมูล ณ สิ้นเดือน ธันวาคม 2553)
กองทุนรวมหลักมีนโยบายลงทุน อย่างน้อย 70% ของกองทุน ในหุ้นของบริษัททั่วโลกที่ประกอบธุรกิจด้านการเกษตร สารเคมีทางการเกษตร อุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานสินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตรและอาหาร ซึ่งรวมถึงเชื้อเพลิงชีวภาพ วิทยาศาสตร์การเพาะปลูก ที่ดินทำการเกษตรและการป่าไม้ โดยทีมงานบริหารที่มีประสบการณ์เป็นที่ยอมรับอย่างสูงในระดับโลก
ความน่าสนใจของการลงทุนในกองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ อะกริคัลเจอร์ ฟันด์ คือเป็นการลงทุนในหุ้นธุรกิจเกษตรทั่วโลก ซึ่งนอกจากจะเป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อแล้ว ยังช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในสินค้าเกษตรแต่เพียงอย่างเดียว เนื่องจากมีธุรกิจการเกษตรหลากหลาย ซึ่งบางประเภทจะได้รับประโยชน์เมื่อราคาสินค้าเกษตรปรับตัวเพิ่มขึ้น และบางประเภทอาจได้รับประโยชน์เมื่อราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลง นอกจากนั้นแล้วการที่ประชากรโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่มีกำลังซื้อและความต้องการบริโภคเพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะส่งผลให้ธุรกิจการเกษตรจะต้องเติบโตขึ้นในอัตราเร่งเพื่อรองรับความต้องการดังกล่าว
การเสนอขายกองทุนนี้ ถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จที่ผ่านมาของกองทุนรวมรายอุตสาหกรรมที่บริษัทได้เสนอขายมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีกองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เอ็นเนอร์จี ฟันด์ (KT-ENERGY) ซึ่งบริหารโดย BlackRock เป็นกองทุนรวมรายอุตสาหกรรมกองทุนแรกของบริษัทที่ลงทุนในหุ้นพลังงานทั่วโลก ได้ให้ผลตอบแทนนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (วันที่ 3 กรกฏาคม 2552) สูงถึง 60.43% เทียบกับอัตราอ้างอิงที่ 38.11% (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2554) บริษัทคาดว่ากองทุน KT-AGRI จะเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่ผู้ลงทุนมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจในระยะยาวเช่นเดียวกัน
ด้านมิสเตอร์วีเจย์ ศิวะรามัน ผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ ในฐานะตัวแทนสนับสนุนการขาย กล่าวเสริมว่า ปัจจัยขับเคลื่อนหลักของการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ ยังคงเป็นสภาพคล่องที่อัดฉีดโดยธนาคารกลางประเทศอุตสาหกรรมหลัก (G10) โดยรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและ อัตราเติบโตสูงในประเทศเกิดใหม่ เงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า และความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อป้องกัน อัตราเงินเฟ้อ เป็นปัจจัยสนับสนุนต่อราคาสินค้าสินค้าโภคภัณฑ์ในระยะกลาง อย่างไรก็ดีความเสี่ยงก็คือ การยกเลิกนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในประเทศพัฒนาแล้วโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา
การลงทุนในกลุ่มธุรกิจการเกษตร ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการมีส่วนร่วมกับการเติบโตในระยะยาว เพิ่มไปจากการลงทุนในตลาดหุ้นโดยรวม อย่างไรก็ดีนักลงทุนจะต้องมีวินัยในการสร้างพอร์ตที่มีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนและปรับให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายและสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป