นางสาววรรณวิมล โชติพืช กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บง.สินอุตสาหกรรม (SICCO) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทวาระพิเศษ ครั้งที่ 4/2554 เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2554 ได้มีมติให้ขอถอนหุ้นของบริษัทออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ทั้งนี้ SICCO มีหุ้นสามัญจำนวน วน 597,423,062 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5.00 บาท รวม 2,987,115,310 บาท โดยเป็นนหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2531 และราคาซื้อขายครั้งหลังสุด 4.24 บาท/หุ้น เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2554
ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB)ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่จะเข้าดำเนินการขอทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทเป็นการทั่วไป เพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ราคาเสนอซื้อเท่ากับ 6.89 บาทต่อหุ้น
พร้อมกันนั้น ได้กำหนดวันประชุมชี้แจง (Presentation) เพื่อเสนอแนะความเห็นเกี่ยวกับการขอถอนหุ้นจะมีการจัดประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันที่ 24 พฤษภาคม 2554 เพื่อพิจารณากำหนดวันประชุมชี้แจง (Presentation)
และกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2554 ในวันที่ 30 มิถุนายน 2554 เวลา 14:30 น. โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น ในวันที่ 8 มิถุนายน 2554 และให้รวบรวมรายชื่อตาม ม.225 ของ พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 9 มิถุนายน 2554
เหตุผลและข้อเท็จจริงของการขอถอนหุ้นออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน เนื่องจากบริษัทได้รับหนังสือจาก SCB แสดงเจตจำนงขอทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์บริษัทเป็นการทั่วไป เพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์บริษัทจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ในหนังสือดังกล่าวระบุว่า ธนาคารได้พิจารณาถึงโอกาสในการดำเนินธุรกิจต่อไปของบริษัท จากนโยบายการเปิดเสรีทางการเงิน และการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์สามารถทำธุรกิจได้ครอบคลุมหลากหลายมากขึ้น รวมถึงสภาวะการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการประกอบธุรกิจของบริษัทต่อไปในอนาคตอย่างมาก การที่ธนาคารจะถือหุ้นในบริษัทต่อไปอีกก็จะไม่เกิดประโยชน์แก่ธุรกิจของธนาคาร
นอกจากนี้ นโยบายสถาบันการเงินหนึ่งรูปแบบภายใต้แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยก็กำหนดให้แต่ละกลุ่มธุรกิจทางการเงินมีสถาบันการเงินที่รับเงินฝากจากประชาชนเพียง 1 รูปแบบต่อแห่ง (One presence policy) ก็เป็นข้อจำกัดด้วยอีกประการหนึ่ง ธนาคารจึงได้ดำเนินการเพื่อจำหน่ายการถือหุ้นในบริษัทของธนาคาร โดยทางธนาคารได้พยายามหานักลงทุนที่สนใจเข้าลงทุนในบริษัทเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว ซึ่งมีนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศบางรายที่แสดงความสนใจในเบื้องต้นที่จะเข้ามาลงทุน แต่ก็ไม่มีรายใดที่สามารถหาข้อสรุปกับทางธนาคารได้
และในความพยายามครั้งล่าสุด ธนาคารได้มีการเปิดประมูลหุ้นบริษัทในส่วนที่ธนาคารถืออยู่เป็นการทั่วไป ก็ปรากฏว่าไม่มีนักลงทุนรายใดยื่นข้อเสนอซื้อเบื้องต้นมายังธนาคารเพื่อพิจารณา อันเป็นผลให้กระบวนการเปิดประมูลขายหุ้นบริษัทที่ถือโดยธนาคารเป็นการทั่วไปได้สิ้นสุดลง
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทได้พิจารณาและมีมติอนุมัติให้บริษัทเรียกประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติการขอเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามข้อเสนอของ SCB
เมื่อธนาคารได้ดำเนินการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทเป็นการทั่วไป เพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์ในครั้งนี้แล้ว ธนาคารมีแผนที่จะดำเนินการเลิกกิจการ และให้บริษัทคืนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจเงินทุน ซึ่งอาจจะทำให้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อ ความสามารถในการประกอบธุรกิจของบริษัท ส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัทหากจะยังคงถือหุ้นอยู่ในบริษัทอยู่ต่อไป ภายหลังการดำเนินการตามแผนดังกล่าวของธนาคารย่อมจะต้องได้รับผลกระทบนั้นด้วย
ณ วันที่ 28 เมษายน 2554 ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นถือหุ้นใหญ่ 38.65% ทั้งนี้มีจำนวนผู้ถือหุ้นทั้งหมด 5,087 ราย จำนวน597,423,062 หุ้น ส่วนจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ถือหุ้นไม่เกินกว่า 5 ใน 1,000 ของทุนเรียกชำระแล้ว แต่ไม่ต่ำกว่า 1 หน่วยการซื้อขาย 4,693 ราย 242,360,790 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 40.57 ของทุนเรียกชำระแล้ว