TCC-W2 ปิดเทรดวันแรกที่ 2.18 บาท มูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 17.39 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 2.42 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุด 2.44 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุด 2.16 บาท
ขณะที่หุ้น TCC ปิดที่ 3.26 บาท ลดลง 0.10 บาท(-2.98%)มูลค่าซื้อขาย 14.27 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 3.34 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุด 3.38 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุด 3.26 บาท
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น(TCC)ใช้ชื่อ TCC-W2 อยู่ที่ 2.41 บาท/หน่วย คิดเป็น All-in Premium 1.4% ณ ราคาหุ้นแม่ที่ 3.36 บาท (23 พ.ค.)
TCC-W2 จำนวนที่ออก 75.98 ล้านหน่วย จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่จองซื้อหุ้นเพิ่มทุนในอัตราส่วน 10 : 1 @ 1 บาท ได้รับใบสำคัญฯ ฟรี 1 หน่วย (ขึ้น XR-W เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 54) และมีอัตราใช้สิทธิ 1 : 1 @ 1 บาท, อายุ 7 ปี
โดยใช้สิทธิได้ทุกวันทำการสุดท้ายของเดือน ก.พ., พ.ค., ส.ค. และ พ.ย. (ใช้สิทธิครั้งแรกในวันที่ 30 พ.ย. 54 และครั้งสุดท้ายในวัน 3 พ.ค. 61 ซึ่งเป็นวันหมดอายุ)
บมจ.ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น(TCC)เดิมบริษัทชื่อ บมจ.ไทยฮีทเอ็กซ์เช้นจ์ จำกัด (THECO) มีธุรกิจเริ่มต้น คือ การผลิตชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศรถยนต์ แต่ในปี 51 ได้ยกเลิกธุรกิจเดิม และเริ่มธุรกิจค้าถ่านหินเป็นธุรกิจหลักเป็นต้นมา โดยนำเข้าถ่านหินจากอินโดนิเซียและจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ให้ได้ขนาดตามความต้องการของลูกค้า
หลังจากที่บริษัทลงทุนก่อสร้างโรงคัดแยกและสถานที่จัดเก็บถ่านหิน ที่ อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี และดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/52 เป็นต้นมา ผลประกอบการจากที่เคยขาดทุนติดต่อกันหลายไตรมาส เริ่มดีวันดีคืน โดยมีกำไรต่อเนื่อง 6 ไตรมาสติดต่อกัน นับตั้งแต่ไตรมาส 4/52 เป็นต้นมา ล่าสุดงบไตรมาส 1/54 มีกำไรสุทธิ 19.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า จากกำไรเพียง 4.6 ล้านบาทในไตรมาส 1/53 และปีนี้น่าจะเป็นปีแรกที่บริษัทเริ่มกลับมาจ่ายเงินปันผลได้ หลังขาดทุนสะสมพลิกกลับมาเป็นบวก
อย่างไรก็ดี ในแง่ของการประเมินมูลค่า มองราคาหุ้นระดับปัจจุบันสะท้อนแนวโน้มที่ดีขึ้นนี้ไปมากแล้ว สังเกตได้จาก Trailing PER และ PBV ในปัจจุบันที่สูงถึง 69.0 เท่า และ 6.5 เท่า เทียบกับ PER และ PBV ตลาดที่ 14.3 เท่า และ PBV 2.0 เท่า นอกจากนี้บริษัทยังมีใบสำคัญฯ ถึง 2 ตัว คือ TCC-W1 และ TCC-W2 และทั้งคู่ต่างมีสถานะเป็น In-the-Money เนื่องจากราคาใช้สิทธิที่ต่ำเพียง 0.876 บาท/หุ้น และ 1 บาท/หุ้นตามลำดับ เทียบกับราคาหุ้นแม่ปัจจุบันที่ 3.36 บาท (23 พ.ค.) ทำให้มีโอกาสสูงที่จะเกิดผลกระทบ Dilution Effect รวมกันที่ 30% กดดันราคาหุ้นในอนาคต