โบรกเกอร์ส่องแนวโน้มตลาดหุ้นไทยครึ่งหลังปีนี้(H2/54)คงจะยังผันผวนอยู่ และยังมีการเล่นเทรดดิ้ง โดยช่วงไตร มาส 3/54 ตลาดฯคงจะผันผวน-อ่อนลง เหตุตลาดฯได้เข้าสู่จุดกระทบมากสุด ทั้งปัจจัยจากการเมืองในประเทศ, ปัญหาหนี้สินใน ยุโรปที่ยังไม่คลี่คลาย และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว พร้อมเชื่อเลือกตั้งเสร็จ หากไม่มีอะไรรุนแรง ตลาดฯจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น
พอมาถึงไตรมาส 4/54 ตลาดฯน่าจะมีการฟื้นตัวได้ ซึ่งน่าจะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวทั้งแต่ช่วงเดือนส.ค.-ก.ย. ซึ่ง ไตรมาสนี้สถานการณ์ในญี่ปุ่นน่าจะเริ่มดีขึ้น และตัวที่จะผลักดันตลาดฯก็คงจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ และผลประกอบการของบริษัทฯที่ มีพื้นฐานที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
แม้การเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียนของไทย และอาเซียนในปีนี้(2554)จะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยคาดการณ์กำไร ของบริษัทจดทะเบียนในไทยจะเติบโตเฉลี่ยในช่วง 15-22% ในปีนี้ และปีหน้า(2555)คาดการณ์กำไรจะเติบโตเฉลี่ย 15% แต่ปัญหา เงินเฟ้อของหลาย ๆ ประเทศในเอเชียก็คงจะพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด(peak)ในไตรมาส 4/54
อย่างไรก็ดี เป้าหมายดัชนี SET ปีนี้(2554)โบรกเกอร์ยังมองเป้าในช่วง 1,130-1,200 จุด คิดเป็น P/E 12-14 เท่า พร้อมแนะนำนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนหุ้นจำพวก Defensive และมีการจ่ายเงินปันผลที่ดี โดยเน้นไปที่หุ้นในกลุ่มแบงก์ อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรจะเลือกลงทุนโดยดูจังหวะของตลาดฯด้วย
*BLS มอง H2/54 ตลาดหุ้นไทยคงจะเป็นลักษณะเทรดดิ้ง
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.บัวหลวง(BLS)เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้น ไทยในช่วงครึ่งหลังปีนี้(H2/54)คงจะอยู่ในลักษณะของการเล่นเทรดดิ้ง เนื่องจากสถานการณ์หนี้สินในยุโรปยังไม่แล้วจบ แต่ยังได้ ปัจจัยบวกจากที่มองว่าทางสหรัฐฯและยุโรปคงจะยังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
"ปัญหาหนี้สินในกรีซจบก็ยังจะมีประเด็นการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯอีก แล้วพองบฯไตรมาส 2/54 ออกมาก็ คงจะอ่อนตัวลงหน่อย พอมาปลายไตรมาส 3/54 ก็จะมีเรื่องหนี้สินในยุโรปกลับเข้ามาอีกรอบ ดังนั้นครึ่งปีหลัง(H2/54)ตลาดฯคงจะ เทรดดิ้งแบบอีลักอีเหลือก แต่ตลาดฯก็มี downside ที่ 990-1,000 จุด และมี upside ที่ 1,150-1,200 จุด"นายชัยพร กล่าว
อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่าตัวเลขกำไรของไทยและในเอเชียมีการเติบโตที่ดี แต่ตัวเลขเงินเฟ้อของหลาย ๆ ประเทศ ในเอเชียคาดว่าจะขึ้นสู่จุดสูงสุด(peak)ในไตรมาส 4/54 หลังจากนั้นตลาดฯก็จะกลับมาดีขึ้น
ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย BLS กล่าวว่า ปีนี้(2554)ได้มองเป้าหมายดัชนี SET ไว้ที่ 1,200 จุด คิด เป็น P/E 13 เท่า และคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนปีนี้จะเติบโต 22% ส่วนปีหน้า(2555)คาดกำไรจะเติบโต 15%
"ตลาดบ้านเราไม่แพงหรอก เพียงแต่ว่าตอนนี้บ้านเรามีปัญหาเรื่องการเมือง ก็เลยทำให้ตลาดบ้านเราถูก discount ไปโดยปริยาย แต่ถ้าเลือกตั้งเสร็จเมื่อไร และไม่ได้มีอะไรรุนแรง แค่อย่าตีกันก็โอเคแล้ว ก็เชื่อว่าตลาดบ้านเราก็จะ เทรดดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเท่าที่ดูต่างชาติไม่ได้ขายอะไรแรงมาก และแม้ว่าหลายโบรกฯทุกชาติจะ downgrade ไทยในช่วงที่ผ่าน มาก็ตาม แต่ตลาดเมืองไทยก็ยังไม่ได้ถูกขายแรงมาก"ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย BLS กล่าว
นายชัยพร กล่าวต่อว่า ปัจจุบันตลาดในแถบอาเซียนถือว่าเทรดแพงสุด เทรดด้วย P/E 14-15 เท่า และการขยายตัว ของกำไรในอาเซียนเฉลี่ย 12% เศษ ยกเว้นตลาดอินโดนีเซียที่มีกำไรเติบโต 19% เทรด P/E กว่า 14 เท่า
"จริง ๆ แล้วตลาดอาเซียนตอนนี้เทรดแพงสุด เป็นตลาดที่ดูดีสุดแล้วตอนนี้ เทรด 14-15 เท่า ถ้าดูการขยายตัวของ Earning ของไทยจะดูเด่นสุดในอาเซียนแล้วครับ อาเซียนกำไรเฉลี่ยโตสักประมาณ 12%เศษ ยกเว้นอินโดฯที่โตประมาณ 19% แต่อินโดฯก็เทรด P/E 14 กว่า ที่เหลือของอาเซียนอยู่ประมาณ 13% แต่ของเราโต 18%"นายชัยพร กล่าว
*SCBS มองตลาดฯในช่วง Q3/54 ผันผวน-อ่อนลง
ด้านนายสุกิจ อุดมสิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ลูกค้าบุคคล และสายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS)กล่าวถึงมุมมองทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปีนี้(H2/54)นั้น ว่า ในช่วงไตรมาส 3/54 มองว่าตลาดฯคงจะอยู่ใน ลักษณะของการผันผวนหรืออ่อนตัวลงไป เนื่องจากตลาดฯได้เข้าสู่จุดกระทบมากสุด ทั้งปัจจัยจากการเมืองในประเทศ, วิกฤตหนี้ใน ยุโรป และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
"แต่ในจุดที่อ่อนนี้ก็เป็นช่วงจังหวะที่นักลงทุนจะเข้า"ซื้อ"เพราะเวลาซื้อต้องซื้อตอนราคาตก โดยเฉพาะหากดัชนีฯลงมา ต่ำกว่าระดับ 1,020 จุด"นายสุกิจ กล่าว
นายสุกิจ กล่าวต่อว่า พอมาถึงไตรมาส 4/54 ก็มองว่าตลาดฯน่าจะมีการฟื้นตัวได้ ซึ่งน่าจะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว ทั้งแต่ช่วงเดือนส.ค.-ก.ย. ซึ่งในไตรมาส 4/54 นี้มองว่าทางญี่ปุ่นก็น่าจะเริ่มดีขึ้น และตัวที่จะผลักดันตลาดฯก็คงจะเป็นเรื่องของ เศรษฐกิจ และผลประกอบการของบริษัทฯที่มีพื้นฐานที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
โดยปีนี้(2554)คาดว่าบริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรเติบโตประมาณ 15-20% ส่วนเป้าหมายดัชนีฯปีนี้ให้ไว้ที่ 1,200 จุด คิดเป็น P/E 14 เท่า
*AYS มองตลาดหุ้นไทยช่วง H2/54 ไม่ค่อยดีเท่าไร
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา(AYS) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยใน ช่วงครึ่งหลังปีนี้(H2/54)มองว่าจะไม่ค่อยดีเท่าไร เนื่องจากขณะนี้ก็เริ่มเห็น Fund Flow ที่ไม่ค่อยดี, เงินดอลลาร์สหรัฐฯก็แข็ง ค่า, เศรษฐกิจสหรัฐฯก็ไม่ดี รวมถึงปัญหาหนี้สินในยุโรปก็มีการปะทุขึ้นมาอีก ทั้งนี้มองว่าแนวรับในช่วงครึ่งปีหลังไว้ที่ 920-950 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,010 จุด
สำหรับเป้าหมายดัชนี SET ปีนี้ให้ไว้ที่ 1,130 จุด คิดเป็น P/E 12 เท่า พร้อมคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียน ในปีนี้จะเติบโตเฉลี่ย 19% ส่วนปีหน้า(2555)คาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตเฉลี่ยแค่ 10% เท่านั้น ดังนั้นจะหวังว่า จะมี return 20-30% คงเป็นไปได้ยาก
อย่างไรก็ดีในช่วงครึ่งปีหลังนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนหุ้นจำพวก Defensive และมีการจ่ายเงินปันผลที่ดีได้รองรับ โดยควรจะเลือกลงทุนโดยดูจังหวะของตลาดฯด้วย ส่วนหุ้นขนาดใหญ่ก็ต้องไปรอลุ้นช่วงปลายไตรมาส 3/54 ถึงต้นไตรมาส 4/54 ที่ อาจจะมีการปรับตัวดีขึ้นได้
*KSEC มองตลาดฯ H2/54 ลุ้นทำ New High 1,200 จุด
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย(KSEC) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง มองว่ายังสามารถปรับตัวขึ้นไปได้อยู่ โดยมีโอกาสทดสอบระดับ 1,113 จุด และยังมีลุ้นทำ New High ที่ระดับ 1,200 จุด จาก ปัจจัยสนับสนุนของพื้นฐานเศรษฐกิจไทยและกำไรของบริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ ที่ยังมีแนวโน้มเติบโตดี ซึ่งจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้ Fund Flow จากต่างชาติไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง
ทั้งนี้ การที่ SET INDEX จะปรับตัวขึ้นไปทดสอบระดับ 1,200 จุดนั้น ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เนื่องจากยังมีแรง กดดัน ทั้งจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ภาวะเงินเฟ้อในภูมิภาคเอเชีย ปัญหาหนี้สินในยุโรป และการสิ้นสุดของมาตรการผ่อน คลายเชิงปริมาณรอบสอง(QE2)ของสหรัฐฯที่จะหมดลงในสิ้นเดือนมิ.ย.นี้ ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องในตลาดโลกลดลง ซึ่งจากปัจจัยดัง กล่าวอาจทำให้ตลาดฯมีการปรับฐานเพื่อรอปรับตัวขึ้นใหม่ โดยมองว่า Downside จะอยู่ที่ระดับ 970 จุด
อย่างไรก็ดี มองว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในขณะนี้เป็นเพียงแค่ผลกระทบระยะสั้นจาก เหตุการณ์แผ่นดินไหว และสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเชื่อว่าญี่ปุ่นจะฟื้นตัวและกลับเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงเดือนก.ค.-ส.ค. นี้ จึงน่าจะเป็นแรงหนุนให้ เศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัวใหม่อีกครั้ง ในทางตรงกันข้ามถ้าเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวเชื่อว่าในที่สุดสหรัฐฯจะมีการออกมาตรการ QE3 เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดในภาพรวม
“ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจน่าจะเติบโตดีขึ้นจากไตรมาส 2 ที่ชะลอตัว จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ มองว่าปัจจัยลบที่ เข้ามาการ rally ทางการเมืองจะมีผลแค่ในระยะยสั้นมากกว่า"นายกวี กล่าว
นายกวี กล่าวต่อว่า ส่วนนโยบายการเพิ่มค่าแรงของพรรคเพื่อไทยนั้น อาจทำให้มีปัญหาเงินเฟ้อตามมา แต่มองว่า เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตนั้นไม่น่าเป็นห่วง ทั้งนี้ ประเมินว่าเงินเฟ้อในสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 5% สำหรับหุ้นกลุ่มที่สามารถเข้าไปลงทุนได้ในช่วงครึ่งหลังปีนี้(H2/54) มองว่า กลุ่มธนาคารพาณิชย์น่าสนใจที่สุด เนื่องจาก ได้รับแรงหนุนจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ช่วงครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มเติบโตดี และเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัว และยังได้รับ ปัจจัยบวกจากการลงทุนในโครงการต่างๆของภาครัฐที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการรถไฟ้ความเร็วสูง , โครงการขยาย โครงข่ายรถไฟฟ้า , การพัฒนาโครงการ 3จี เป็นต้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้สินเชื่อของภาคธนาคารเติบโตขึ้นมาก พร้อมแนะ นำ"ซื้อ"หุ้น KTB, SCB, BBL และ KBANK
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มบริการ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทนแรงเสียดทานจากภาวะเงินเฟ้อได้ดี โดยแนะ"ซื้อ"หุ้น BIGC, HMPRO, CPALL หมวดการแพทย์แนะนำหุ้น BH, BGH หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์แนะนำ RS และถ้าไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองตามมาหลัง การเลือกตั้งหมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการก็น่าสนใจแนะนำ"ซื้อ" CENTEL ส่วนกลุ่มเกษตรและอาหาร แนะ"ซื้อ"หุ้น CPF และ TUF ซึ่งรับผลดีจากราคาสินค้าเกษตรที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
*FES มองตลาดฯ H2/54 ผันผวนคล้าย H1/54
ด้านนายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์(FES)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วง ครึ่งหลังปีนี้(H2/54)เป็นภาพของความผันผวน คาดว่าช่วงต้นไตรมาส 3 ดัชนีฯจะยังปรับตัวลงต่อ แต่เมื่อเริ่มมีความชัดเจนเรื่อง การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ดัชนีฯน่าจะเริ่มฟื้นตัว และคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4
“ไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ทั้ง GDP และ earning ออกมาดีมาก แต่ในไตรมาส 2 จะอ่อนตัวลง และในไตรมาส 3 จะ เริ่มฟื้นตัวขึ้นแต่ยังไม่มาก น่าจะมาฟื้นตัวเต็มที่ในไตรมาส 4 หลังปัจจัยการเมืองในประเทศมีความชัดเจน ซึ่งการที่รัฐบาลใหม่เข้า มาไม่ว่าจะเป็นพรรคไหน ก็ต้องเข้ามาบริหารประเทศและสานต่อนโยบายเศรษฐกิจ จึงเชื่อว่าเศรษฐกิจน่าจะไปต่อ ตัว earning ก็น่าจะออกมาดีใกล้เคียงไตรมาส 1"นายปริญทร์ กล่าว
ทั้งนี้ เชื่อว่าดัชนีฯมีโอกาสทำ New High ที่ระดับ 1,200 จุด ได้อยู่ ซึ่งน่าจะได้เห็นราว ๆ ปลายไตรมาส 3 หรือ ช่วงไตรมาส 4 ซึ่งแรงหนุนหลักจะมาจากปัจจัยในประเทศ ทั้งการเติบโตของตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจด ทะเบียนต่างๆ ซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะมาจากการบริโภคในประเทศและการค้าขาย กับประเทศคู่ค้าในอาเซียนเป็น หลัก แทนที่ประเทศในฝั่งยุโรปและสหรัฐฯที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว
ด้านปัจจัยในต่างประเทศมองว่ายังเป็นลบ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯก็ยังไม่เต็มที่ ปัญหาหนี้สินในยุโรปก็คงต้องใช้ เวลาอีก 3-5 ปี กว่าปัญหาจะจบ แต่ทั้งนี้คงไม่กระทบต่อประเทศไทยมากนัก
“การเติบโตของเศรษฐกิจจะมาจากในประเทศเป็นหลัก ได้แรงหนุนจากการบริโภคในประเทศ ซึ่งไม่ว่าเศรษฐกิจโลก จะเป็นอย่างไร ก็ยังเชี่อว่าจะทดสอบ 1,200 จุด ได้อยู่"นายปริญทร์ กล่าว
อย่างไรก็ตามมองว่าการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังนั้นต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง และต้องคอยติดตามข่าวอย่างสม่ำ เสมอ โดยหุ้นที่คิดว่ายังน่าสนใจและสามารถเข้าไปลงทุนได้คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ ในประเทศ และปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ก็มีการสร้างรายได้รูปแบบอื่นๆมากขึ้นเช่น จากค่าธรรมเนียมต่างๆ ซึ่งถือเป็นรายได้เสริมอีก ทางหนึ่ง โดยมี KBANK และ SCB เป็น Top Picks
กลุ่มพาณิชย์และกลุ่มอาหารที่ได้รับประโยชน์จากภาวะเงินเฟ้อ คือ เมื่อต้นทุนเพิ่มขึ้น ก็สามารถส่งผ่านไปยังผู้บริโภคได้ เลย ส่วนเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อแล้วจะกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคหรือไม่นั้น มองว่าถ้าเป็นเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น พร้อมกับการขยาย ตัวของเศรษฐกิจนั้นไม่น่ากังวล แนะนำ"ซื้อ"CPALL
กลุ่มพลังงาน แม้ว่าช่วงนี้ราคาค่อนข้างผันผวน แต่ภาพรวมก็ถือว่ายังอยู่ในระดับสูง แม้จะมีปัจจัยลบทั้งจากการชะลอตัว ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปัญหาหนี้สินในยุโรป แต่ราคาก็ยังยืนเหนือ 90 เหรียญได้ ประกอบกับมองว่าความต้องการพลังงานนั้นจะคงมี อยู่มาก Top Picks ได้แก่ PTTEP , PTT และ TOP
*PST ลุ้นรีบาวน์ใน Q3/54 หลังอ่อนลงมากใน Q2/54
ขณะที่ น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)หรือ PST กล่าว ว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปีนี้(H2/54)ขึ้นอยู่กับความชัดเจนในเรื่องการเมือง ตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นไตรมาส 3/54 หรือหลังการเลือกตั้งมีโอกาสที่จะรีบาวน์ขึ้นได้ เนื่องจากได้อ่อนตัวลงมาค่อนข้างมากแล้วในช่วงไตรมาส 2/54 ที่ผ่านมา แต่ทิศทาง หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรก็ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่จะมีนโยบายเข้ามาแก้ปัญหาให้ประชาชนได้ตรงจุดหรือไม่
ทั้งนี้ มองว่าหุ้นกลุ่มที่ยังน่าสนใจและสามารถหาจังหวะเข้าไปลงทุนได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ ภาพรวมยังได้รับประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจไทย ที่ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อจากช่วงครึ่งปีแรก และอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในช่วงขา ขึ้น รวมทั้งกลุ่มพลังงาน ซึ่งแม้ว่าช่วงนี้ราคาค่อนข้างจะผันผวน ขึ้น ๆ ลง ๆ แต่มองว่าความต้องการยังคงมีอยู่สูง โดยทั้ง 2 กลุ่ม สามารถเข้าซื้อได้เมื่อราคาอ่อนตัวลงมา