หุ้นในกลุ่มยานยนต์ขยับขึ้นทั่วหน้า โดยเมื่อเวลา 11.24 น.ดัชนีกลุ่มยานยนต์อยู่ที่ 390.53 จุด เพิ่มขึ้น 7.29 จุด(+1.90%) โดยหุ้นที่ปรับขึ้นมากสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
หุ้น CWT อยู่ที่ 9.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.65 บาท(+7.78%) มูลค่าซื้อขาย 5.71 ล้านบาท
หุ้น IHL อยู่ที่ 8.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท(+4.94%) มูลค่าซื้อขาย 35.12 ล้านบาท
หุ้น SAT อยู่ที่ 28.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท(+4.67%) มูลค่าซื้อขาย 74.62 ล้านบาท
หุ้น AH อยู่ที่ 14.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท(+2.78%) มูลค่าซื้อขาย 31.94 ล้านบาท
หุ้น TSC อยู่ที่ 11.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท(+2.59%) มูลค่าซื้อขาย 1.24 ล้านบาท
บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ระบุในบทวิเคราะห์ฯได้ปรับเพิ่มมุมมองต่อกลุ่มยานยนต์ “เป็นบวก" จากเดิม “เป็นกลาง"เนื่องจากจุดต่ำสุดคาดจะผ่านไปแล้วในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาแผ่นดินไหวและสึนามิในญี่ปุ่นทำให้ชิ้นส่วนนำเข้าจากญี่ปุ่นขาดแคลน แนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 คาดจะเติบโตโดดเด่นขึ้น จากการเร่งผลิตในรถยนต์ที่ค้างส่งมอบมาจากไตรมาส 2 ทำให้ตลาดรถยนต์ และ ยอดผลิตรถยนต์ ในปี 2554 จะยังเติบโดดเด่น
นอกจากนี้ แนวโน้มระยะยาวอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยจะยังเติบโตในระดับ 10-12% ต่อปี จากที่ค่ายรถยนต์ต่างๆ มีการย้ายฐานเข้ามาผลิตในไทยมากขึ้น รวมถึงได้แรงหนุนจากรถ อีโค-คาร์ จากค่ายรถยนต์ต่างๆ ดังนั้น จึงแนะนำ ซื้อลงทุน สำหรับหุ้นที่มีพื้นฐานดีในกลุ่ม คือ SAT (ราคาเป้าหมาย 28 บาท) STANLY (ราคาเป้าหมาย 210 บาท) TSC (ราคาเป้าหมาย 13.50 บาท) และ AH (ราคาเป้าหมาย 17 บาท)
ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยตัวเลขยอดผลิตรถยนต์ทั้งหมดในเดือน มิ.ย. 54 มีทั้งสิ้น 153,546 คัน ฟื้นตัวจากเดือนก่อนถึง 55% ในขณะที่ปรับขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย 3% นับว่าเป็นการกลับมาผลิตในระดับปกติที่รวดเร็ว โดยมีผลกระทบเพียงสองเดือน คือ เม.ย.-พ.ค. หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิในญี่ปุ่น แนวโน้มไตรมาสสาม ส.อ.ท. ประเมินยอดผลิตจะเติบโตโดดเด่นมากขึ้นเท่ากับ 486,987 คัน (+43%qoq, +14%yoy) ส่วนแนวโน้มปี 2554 ส.อ.ท ได้ปรับเป้าหมายขึ้นเป็น 1.8 ล้านคัน หรือ เติบโตเท่ากับ 9% จากเป้าเดิม 1.7 ล้านคัน (+3%)