นายเฉลิมเกียรติ พิรุณจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ในปี 54 บริษัทตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ไว้ไม่ต่ำกว่า 3% ใกล้เคียงกับปีก่อน
ในช่วงครึ่งหลังของปี 54 บริษัทมีแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มเติมอีก 5 สาขา ได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย, พิษณุโลก, ขอนแก่น และ หาดใหญ่ เพื่อสนองตอบความต้องการของนักลงทุนในพื้นที่จังหวัดใหญ่มากขึ้น และรองรับรูปแบบของการลงทุน รวมถึงผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยจะเปิดเป็นรูปแบบสาขาย่อย (Mini Branch) ตั้งอยู่ภายในสาขาของธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY) ซึ่งแต่ละสาขาใช้งบลงทุนประมาณ 1 ล้านบาท ซึ่งถือว่าถูกกว่าการเปิดสาขาในรูปแบบ Stand alone ที่ต้องใช้เงินลงทุนสาขาละ 3 ล้านกว่าบาทขึ้นไป
ล่าสุด เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้เปิดให้บริการสาขาเชียงใหม่ไปแล้ว ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีสาขารวมทั้งหมด 9 สาขา และจะเพิ่มเป็น 13 สาขาภายในสิ้นปีนี้ และปี 55 บริษัทมีแผนเปิดสาขาใหม่อีกอย่างน้อย 10 สาขา ซึ่งส่วนใหญ่จะยังคงเป็นรูปแบบสาขาย่อย ภายในสาขาของธนาคารกรุงศรีอยุธยา เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าที่มีความต้องการทำธุรกรรมทั้งตลาดเงินและตลาดทุนได้สะดวกขึ้น
“ข้อดีของการเปิดสาขาแบบ mini branch ก็คือไม่ต้องกังวลเรื่อง location และยังจะขยายลูกค้าได้มากขึ้น เพราะลูกค้าที่มีความพร้อมในการลงทุนก็กระจายอยู่ตามแบงก์อยู่แล้ว...ปัจจุบันลูกค้ารายย่อยเรา 30% ก็เป็นลูกค้าจากแบงก์(ธนาคารกรุงศรีอยุธยา)"นายเฉลิมเกียรติ กล่าว็กระจาย็
ทั้งนี้ คาดว่าภายในระยะเวลา 1 ไตรมาส สาขาใหม่แต่ละสาขาที่เปิดให้บริการ จะมีลูกค้าราว 200-300 บัญชี โดยปัจจุบันบริษัทมีบัญชีลูกค้าทั้งหมด 2.5 หมื่นบัญชี และเป็นบัญชีที่เคลื่อนไหวสม่ำเสมอ (active) ประมาณ 9.6 พันบัญชี ขณะที่สัดส่วนลูกค้ากว่า 73% เป็นรายย่อย ที่เหลืออีก 27% เป็นลูกค้าสถาบัน
นายเฉลิมเกียรติ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งงบการตลาดไว้ราว 2 ล้านบาท ซึ่งตลอดทั้งปีก็จะมีการจัดกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่องในรูปแบบของการสะสมแต้มเพื่อลุ้นรับของรางวัล ทั้งการซื้อขายหุ้นและอนุพันธ์ ปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดของการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ที่ 0.8% เป็นอันดับที่ 27