(เพิ่มเติม) KBANK คาดสินเชื่อปี 54 มีโอกาสโตสูงกว่าเป้า 7-9%, NPLต่ำกว่า 3%

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday August 2, 2011 15:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกฤษฎา ล่ำซำ รองกรรมการผุ้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ในปี 54 มีความเป็นไปได้ยอดปล่อยสินเชื่อของธนาคาจะสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เติบโต 7-9% เนื่องจากครึ่งปีแรกสินเชื่อเติบโตถึง 8.37% โดยกลยุทธ์การปล่อยสินเชื่อในช่วงครึ่งปีหลังจะเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ยั่งยืน และสอดคล้องกับเศรษฐกิจ กลุ่มเป้าหมายทั้งลูกค้ารายใหญ่ ลูกค้าเอสเอ็มอี และ ลูกค้าบุคคล

ขณะที่วางเป้าหมายปี 54 รายได้ค่าธรรมเนียมเติบโตมากกว่า 20% จากช่วงครึ่งปีแรกเติบโต 21.85% ส่วนใหญ่าจากธุรกิจแบงก์แอสชัวรัน เงินฝาก การลงทุน ธุรกิจซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน(FA) ซึ่งขณะนี้ธนาคารมีลูกค้าในมือ 25 ราย มูลค่า 3.6 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนนี้จะทำให้ธนาคารมีรายได้จากค่าธรรมเนียมประมาณ 700 ล้านบาท

สำหรับหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) มั่นใจว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ต่ำกว่า 3%ในสิ้นปี 54 เพราะครึ่งปีแรก NPL ลดลงมาอยู่ที่ 2.52% แล้ว ขณะเดียวกันส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย(NIM) ตั้งเป้า 3.4-3.6% จากครึ่งปีแรก NIM อยู่ระดับ 3.59%

ทั้งนี้ ธนาคารจะมุ่งเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อทั้ง 3 กลุ่ม โดยกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ จะเน้นสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับ trade finance รวมถึงอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพใน 5 กลุ่มหลัก คือ ธุรกิจพลังงาน ซึ่งธนาคารยังครองอันดับ 1 และยังคงเดินหน้ากลุ่มธุรกิจนี้ต่อไป ธุรกิจยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ธุรกิจเคมีอุตสาหกรรม ธุรกิจเกษตรแปรรูป และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า-ส่งออก

ส่วนลูกค้าเอสเอ็มอี ธนาคารจะเน้นการเจาะกลุ่มการขายและทำตลาดในแต่ละพื้นที่สำคัญ และเน้นอุตสาหกรรมเป้าหมาย 8 กลุ่ม คือ ก่อสร้าง โรงแรม อพาร์ทเม้นท์ ขนส่ง การซื้อขายเกี่ยวกับการนำเข้า-ส่งออก อิเล็กทรอนิคส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และเกษตรแปรรูป ขณะที่ลูกค้าบุคคล ที่เป็นสินเชื่อที่อยู่อาศัย จะเน้นการร่วมมือกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ รวมถึง สินเชื่อรถช่วยได้ และสินเชื่อเงินสดทันใจ

นายกฤษฎา กล่าวให้ความเห็นอีกว่า มองแนวโน้มสินเชื่อนโยบายในสิ้นปีนี้ น่าจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 4% เนื่องจากปัญหาการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อมีเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จำเป็นต้องเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้น

ด้านนายปรีดี ดาวฉาย รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ผู้ประสานงานภูมิด้านบริหารความเสี่ยง กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปีนี้ดีขึ้น โดยคาดว่าทั้งปีจะเติบโตในอัตรา 3.5-4.5% ขณะที่เงินเฟ้ออยู่ที่ 3.8-4.4% โดยมีปัจจัยบวกจากการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น และการส่งออกที่ขยายตัวดีกว่าที่คาด ขณะที่ปัญหาต่างๆ ได้คลี่คลายลงในทางที่ดีขึ้น หลังมีความชัดเจนจากการเมืองหลังการเลือกตั้ง ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นภาคเอกชน

อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการทำธุรกิจของภาคเอกชนและธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีหลัง จากปัจจัยภายในและภายนอก โดยปัจจัยภายในประเทศจากผลกระทบของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่นการปรับขึ้นค่าแรงงาน การจำนำข้าว ปัญหาเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากราคสินค้าที่เพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่ยังเป็นขาขึ้น และความผันผวนของค่าเงินบาท ส่วนปัจจัยภายนอกมาจากปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งปัญหาหนี้สินและมาตรการรัดเข้มขัดของยุโรป ปัญหาหนี้สาธารณะและการว่างงานของสหรัฐ นโยบายคุมเข้มทางการเงินของจีน และผลกระทบแผ่นดินไหวของญี่ปุ่น ซึ่งทั้งหมดนำไปสู่ความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ด้วย

และจากความเสี่ยงที่เกิดขึ้นทำให้ธนาคารยึดนโยบายเติบโตอย่างมีคุณภาพ มีการบริหารจัดการโดยสร้างความสมดุลในด้านต่างๆ ทั้งการปล่อยสินเชื่อที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและผลตอบแทน การกระจายความเสี่ยง เน้นสร้างรายได้จากดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม รวมถึงบริหารความเสี่ยงในทุกด้าน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ