ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (2 ส.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยว่าตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปี ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้ตลาดวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ
ดัชนี FTSE 100 ร่วงลง 56.04 จุด หรือ 1% ปิดที่ 5,718.39 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวลงติดต่อกัน 3 วันทำการเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการใช้จ่ายด้านการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ปรับตัวลดลง 0.2% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปี ขณะที่รายได้ส่วนบุคคลขยับขึ้นเพียง 0.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่แล้ว
ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงเมื่อคืนนี้ รวมถึงตลาดหุ้นในยุโรปและสหรัฐ แม้สภาสหรัฐมีมติผ่านร่างกฎหมายการปรับเพิ่มเพดานหนี้ด้วยคะแนนเสียง 74 ต่อ 26 เมื่อเวลาประมาณ 23.30 น.ตามเวลาไทยเมื่อวานนี้ และประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้ลงนามรับรองร่างกฎหมายเพื่อให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายแล้วก็ตาม
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงอย่างหนัก โดยหุ้นเอ็กสตราต้าดิ่งลง 3.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อมราคา เพิ่มขึ้นเพียง 30% สู่ระดับ 5.82 พันล้านดอลลาร์ น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 5.93 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่หุ้นริโอทินโตร่วงลง 2.5% และหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ร่วงลง 1.9%
อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกช่วยหนุนหุ้นเฟรสนิลโล ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองทองคำรายใหญ่ของยุโรป พุ่งขึ้น 4.6% และนับเป็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในดัชนี FTSE 100
หุ้นฮาร์กรีฟส์ แลนส์ดาวน์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อยรายใหญ่สุดของอังกฤษ ร่วงลงเกือบ 13% หลังจากสำนักงานบริการทางการเงินของอังกฤษ (FSA) ออกกฎข้อบังคับใหม่ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจสินเชื่อรายย่อย
หุ้นบีพี ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันรายใหญ่อันดับสองของอังกฤษ ดิ่งลง 2.4% หลังจากราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ร่วงลงติดต่อกัน 3 วันทำการ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของบีพีด้วย