โบรกฯมองกลุ่มค้าปลีก H2/54 เด่นรับอานิสงส์นโยบายรบ.ใหม่-กำลังซื้อสูง

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 3, 2011 10:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์มองเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่อเนื่อง ผนวกกับการเมืองสงบและนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่ประกาศชัดเจนเน้นการกระตุ้นการอุปโภคบริโภคในประเทศ ส่งผลดีต่อธุรกิจในกลุ่มค้าปลีกช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่าผลประกอบการของทั้งกลุ่มจะออกมาดีกว่าครึ่งปีแรก โดยเฉพาะบริษัทที่มีการขยายสาขาต่อเนื่อง และขยายธุรกิจออกสู่ต่างประเทศ

*KINENG มอง BJC-HMPRO เด่น

นางสาวสุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมหุ้นกลุ่มค้าปลีกในช่วงครึ่งปีหลังเป็นบวก แนวโน้มผลประกอบการคาดว่าจะออกมาดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกและช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังเติบโต โดยทางฝ่ายวิจัยคาดว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 54 จะอยู่ที่ 4.5% และผู้ประกอบการหลายรายมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับได้รับประโยชน์จากมาตรการประชานิยมของรัฐบาลใหม่อาทิ การปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจะช่วยกระตุ้นการอุปโภคบริโภคให้เพิ่มขึ้นมาก

ทั้งนี้ แนะนำ“ซื้อ" BJC ที่ราคาเป้าหมาย 23 บาท มองว่าบริษัทมีการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและแถบภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเวียดนาม ลาว กัมพูชา ช่วงครึ่งปีหลังบริษัทก็จะมีการเพิ่มกำลังการผลิตกระป๋องอะลูมิเนียมทั้งในไทยและเวียดนาม คาดว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายได้ประมาณ 20-30% และในช่วงเดือน ส.ค.โรงงารผลิตกระดาษชำระที่ประเทศเวียดนามก็น่าจะเริ่มเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ได้

คาดว่าสัดส่วนยอดขายในต่างประเทศของบริษัทปีนี้จะเพิ่มเป็น 15% จากปีก่อนที่ 8.4% และแนวโน้มก็จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทก็มีแผนที่จะเข้าซื้อธุรกิจค้าปลีกภายในประเทศ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการกระจายสินค้า คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ ทั้งนี้ประเมินกำไรปี 54 ไว้ที่ 2,076 ล้านบาท

“ตัวกิจการใหม่ก็ต้องรอดูด้วยว่าตัวกิจการที่จะเข้าไปซื้อเป็นอย่างไร และจะเข้ามาช่วยเสริมมากน้อยแค่ไหน ต้องดูราคาด้วย แม้จะไม่มีตัวนี้ เราก็ยังมองว่าผลประกอบการโดยรวมยังมีการขยายตัวที่ดี ตัวบริษัทเองยังมีแนวโน้มที่ดีจากการขยายธุรกิจทั้งในประเทศ และแถบภูมิภาค ซึ่งมองว่ามีโอกาสเติบโตอีกค่อนเยอะ ทั้งในเวียดนาม ลาว กัมพูชา"นางสาวสุทธาทิพย์ กล่าว

พร้อมแนะนำ"ซื้อ" HMPRO ที่ราคาเป้าหมาย 9.80 บาท โดยปีนี้ประเมินกำไรไว้ที่ 1,874 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ และการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมีแผนเปิดสาขาใหม่ปีละ 4-5 สาขา โดยปีนี้คาดว่าจะเปิดสาขาใหม่ 2-3 แห่ง นอกจากนี้บริษัทก็มีแผนที่จะขยายสาขาไปในต่างประเทศ โดยเริ่มจากในภูมิภาคเอเชียก่อน แม้จะยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน แต่มองว่าถ้าเกิดขึ้นจริงก็จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในอนาคต

*KKS มองผลประกอบการค้าปลีก H2 รุ่งกว่า H1

นางสาวมินทรา รัตยาภาส นักวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการของกลุ่มค้าปลีกในช่วงครึ่งปีหลังจะออกมาดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาล โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 4 ที่ผลประกอบการจะเติบโตมากกว่าไตรมาสอื่นๆ อย่างไรก็ตามบางบริษัทอาจมีภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จากค่าใช้จ่ายทางการตลาด รวมถึงการทำโปรโมชั่นต่างๆช่วงสิ้นปี

นอกจากนี้ยังได้รับประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ทั้งในเรื่องของการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท, การปรับเพิ่มเงินเดือนขั้นต้นสำหรับผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท รวมถึงมาตรการพักหนี้ 3 ปี ให้กับผู้เป็นหนี้ไม่เกิน 5 แสนบาท ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคให้เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ แนะนำ“ลงทุนมากกว่าตลาด"สำหรับกลุ่มค้าปลีก และมี HMPRO เป็น Top Pick โดยมีราคาเป้าหมายที่ 9.50 บาท โดยมองว่าจะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก การเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่องในแต่ละปี รวมถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น หลังมาตรการต่างๆของพรรคเพื่อไทยที่จะเริ่มทยอยประกาศใช้ออกมา ทั้งนี้ประเมินกำไรปี 54 ที่ 1,721 ล้านบาท

“เราแนะนำซื้อ HMPRO เพราะนอกจากจะได้ประโยชน์จากตัวกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีตัวมาตรการที่อยู่อาศัยด้วย ที่จะคืนภาษีสำหรับซื้อบ้านหลังแรก ส่วน CPALL แนะนำถือ ไว้เป็นตัวเลือกในกรณีที่ sentiment ทางเศรษฐกิจไม่ดี ซึ่ง CPALL น่าจะกระทบน้อยที่สุด"นางสาวมินทร กล่าว

*ฟิลลิป ชู BIGC เด่น

นางสาวปรียนันท์ ตรีเพ็ชรชูพร นักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป มองว่า หุ้นกลุ่มค้าปลีกจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากนโยบายประชานิยมของรัฐบาลใหม่ มีหลายมาตรการที่ช่วยเพิ่มกำลังซื้อและลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ทั้งการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท, การปรับเพิ่มเงินเริ่มต้นสำหรับวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีที่ 15,000 บาท รวมถึงการรับจำนำพืชผลทางการเกษตรต่างๆ อย่างไรก็ตามหุ้นส่วนใหญ่ก็ปรับตัวขึ้นมารับข่าวกันไปบ้างแล้ว

แต่ทั้งนี้ ยังคงแนะ“ซื้อ"BIGC โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 116 บาท โดยมองว่าราคาหุ้น ยังมี upside ค่อนข้างมาก และจะได้รับประโยชน์จากการรวมกิจการกับคาร์ฟูร์ 42 สาขา ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ โดยบริษัทได้มีการเข้าไปปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ภายนอกต่างๆของคาร์ฟูร์ให้เป็น Bigc แล้วเสร็จมาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา โดยเหลือเพียงระบบงานจัดซื้อ ซึ่งคาดว่าจะสามารถโอนย้ายเสร็จในวันที่ 12 ก.ค. นี้ ซึ่งบริษัทก็จะได้ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับคาร์ฟูร์อีกแล้ว ก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายโดยรวมของบริษัทปรับตัวลดลง ทั้งนี้ประเมินกำไรปี 54 ไว้ที่ 3,398 ล้านบาท หรือเติบโต 17% จากปีก่อน

*AYS คาด Q4/54 พีค

นายธนัท รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ภาพรวมการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในช่วงครึ่งปีหลังจะมากกว่าช่วงครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4/54 เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลสำคัญต่างๆจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก

มองว่าผลประกอบการของกลุ่มค้าปลีกในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตต่อเนื่องจากช่วงครึ่งแรก ซึ่งเป็นการเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่วนความกำลังเรื่องปัญหาทางการเมืองก็ลดลง จึงน่าจะช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายในภาพรวม ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจในต่างประเทศ ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบ เนื่องจากปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนผลประกอบการของกลุ่มค้าปลีกจะมาจากการบริโภคในประเทศเป็นหลัก

“ช่วงครึ่งปีหลังจะมีการจับจ่ายใช้สอยมากกว่าช่วงครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ที่เป็นช่วงเทศกาล ซึ่งถือว่ามีการใช้จ่ายมากที่สุด โดยยอดขายก็จะสูงที่สุดตามไปด้วย ซึ่งถ้าดูจากตรงนี้ตัวรายได้ก็จะดี แต่ในอีกด้านหนึ่งบางบริษัท เช่น CPALL ก็จะมีค่าใช้จ่ายทางการตลาดในไตรมาส 4 สูงที่สุด ทำให้กำไรน้อยกว่าไตรมาสอื่นๆ เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูงขึ้น แต่ในแง่ของรายได้ภาพรวมของกลุ่มก็ถือเป็นช่วงพีค"นายธนัท กล่าว

นอกจากนั้น จะได้รับประโยชน์จากมาตราการเพิ่มรายได้ของรัฐบาลใหม่ ทั้งในส่วนของลูกจ้างรายวัน ลูกจ้างประจำ รวมถึงเกษตรกร ซึ่งจะทำให้มีกำลังซื้อสูงขึ้น อย่างไรก็ตามนโยบายต่างๆนั้นก็ยังไม่มีความชัดเจน และไม่รู้ว่าจะนำมาใช้เมือไหร่ และจะมีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง ต้องรอติดตามต่อไป แต่ถ้ามาตรการต่างๆไม่สามารถปฏิบัติได้จริงหรือไม่ได้เป็นไปตามที่คาดไว้ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาตามมา

“ผมว่าทุกอย่างถ้ามองผลทางเศรษฐกิจจริงๆน่าจะเป็นปีหน้า แต่ปีนี้อาจจะได้ในเชิงโมเมนตัม คือถ้าออกมาจริงๆแล้วชัดเจนโมเมนตัมจะดี เมื่อโมเมนตัมดีทุกคนอาจจะยอมควักเงินล่วงหน้า เอาเงินอนาคตมาจ่ายก็ได้ แต่ว่านโยบายมันยังไม่ชัด และผลบวกอาจจะมองแค่ว่ารายได้เพิ่มขึ้น แต่ผลที่ตามมาถ้าทุกอย่างไมได้เป็นไปตามคาด ผลทางลบก็จะตามมา ซึ่งก็จะลึกและนานกว่า เพราะว่าทำให้ต้นทุนของทุกคนเพิ่มขึ้น"นายธนัท กล่าว

ทั้งนี้แนะนำ “ซื้อ" HMPRO ที่ราคาเป้าหมาย 9.30 บาท หลังแนวโน้มผลประกอบการช่วงไตรมาส 4/54 จะออกมาสูงสุด ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาล ประกอบกับยังได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัยพ์ของรัฐบาลชุดใหม่ ทั้ง นโยบายดอกเบี้ย 0% นาน 5 ปี สำหรับผู้ที่ซื้อบ้านหลังแรกราคาไม่เกิน 4 ล้านบาท, การลดค่าธรรมเนียมการโอน, การลดค่าลดหย่อนทางภาษี คือเป็นการเอาภาษีมาลดหย่อนให้มากขึ้น ฯลฯ

หากสามารถนำนโยบายที่หาเสียงมาปฏิบัติได้จริง ก็จะกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมได้อย่างมาก เมื่อตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโต HMPRO ก็จะได้รับประโยชน์ตามไปด้วย เนื่องจากความต้องการอุปกรณ์และวัสดุประดับตกแต่งในบ้านก็จะเพิ่มขึ้นตาม ประเมินกำไรปี 54 ไว้ที่ 1,883 ล้านบาท เติบโตประมาณ 15%

“ตอนนี้เราแนะนำซื้อ HMPRO เนื่องจาก upside ยังมีอีกเยอะ และจะได้ประโยชน์จากมาตรการรัฐ ทั้งการเพิ่มรายได้และการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ส่วน CPALL แนะนำเก็งกำไร ส่วน BIGC และ MAKRO แนะนำถือ เพราะไม่ค่อยมี upside แล้ว"นายธนัท กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ