(เพิ่มเติม) SF คาดใช้งบลงทุนกว่าหมื่นลบ.ขยายพื้นที่เช่าให้ถึงเป้า 5 แสน ตร.ม.ปี 56

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 28, 2011 15:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิเชฐ ตันติวานิช อดีตผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในฐานประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ บมจ.สยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ (SF) เปิดเผยว่า ในปี 54 คาดว่ารายได้รวมของบริษัทจะเติบโต 50% จากปีก่อน โดยในปี 54 บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 2 แห่ง ได้แก่ โครงการ เฟสติวัล วอร์ค , นวมินทร์ อาร์ต วิลเลจ ซึ่งมีพื้นที่ให้บริการ 8,000 ตารางเมตร (พื้นที่เช่า 4,000 ตร.ม.) โดยจะเปิดในเดือนตุลาคม 2554 ใช้งบประมาณในการลงทุน 240 ล้านบาท และโครงการเมกาบางนา ซึ่งจะเปิดให้บริการในส่วนของไอเกียก่อนในเดือนพฤศจิกายนนี้

"โครงการดังกล่าว(เมกะบางนา)ถือว่าเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทฯ มีพื้นที่ให้บริการกว่า 400,000 ตารางเมตร (พื้นที่เช่า 180,000 ตร.ม.) ใช้งบประมาณในการลงทุนทั้งสิ้นกว่า 10,000 ล้านบาท คาดสิ้นปี 2555 จะมีพื้นที่ให้เช่า(Gross Leasable Area หรือ GLA) รวมกว่า 400,000 ตร.ม. มีแผนขยายพื้นที่เช่าเป็นจำนวนกว่า 80,000 ตร.ม. หรือ 20% ทุกปี และภายในปี 2556 จะทำให้บริษัทฯ มีพื้นที่เช่าทั้งหมดเป็นไปตามเป้าหมายกว่า 500,000 ตารางเมตร หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 100% ซึ่งการเพิ่มขึ้นของพื้นที่เช่าดังกล่าวจะส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทฯ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามเช่นกัน โดยคาดว่าจะทำให้รายได้รวมของบริษัทฯ จะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 50%" นายวิเชฐ กล่าว

นายนพพร วิฑูรชาติ ประธานกรรมการบริหาร SF กล่าวว่า บริษัทมีแผนการลงทุนในปี 54-56 ปีละ 3 พันล้านบาท โดยเป็นการศูนย์การค้ารูปแบบ Community Mall ในรูปแบบต่างๆที่เป็นเอกลักษณ์โดยโครงการขนาดใหญ่ คือ โครงการเมกาบางนาที่จะเปิดเต็มรูปแบบราวไตรมาส 2/55 ซึ่งขณะนี้ขายพื้นที่เช่าไปแล้ว 85% ทำให้ในปี 55 บริษัทมีพื้นที่ให้เช่าเพิ่มเป็น 4 แสนตารางเมตร ตามแผนการลงทุน 3 ปี บริษัทมีพื้นที่ให้เช่าเพิ่มเป็นกว่า 5 แสนตารางเมตร

“ตอนนี้เรามีพื้นที่ให้เช่า 30 โครงการ และมีแผนจะเพิ่มต่อเนื่องแต่เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องเป็นทำเลที่ดีและศูนย์การค้า ประเภทคอมมูนิตี้ ฮอลล์ ต้องมีเอกลักษณ์ เพราะปัจจุบันมีการแข่งขันสูงและมีศูนย์การค้ารูปแบบนี้กว่า 100 แห่ง"นายนพพร กล่าว

ด้านนายวิเชฐ เปิดเผยว่า กำไรสุทธิในปี 54 จะลดลงจากปีก่อน เนื่องจากไม่มีกำไรพิเศษเช่นปีก่อนที่มีมีกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ ในส่วนของการลงทุนขึ้นอยู่กับแต่ละโครงการ ซึ่งหากไม่ใช่โครงการขนาดใหญ่มูลค่าการลงทุนจะอยู่ที่ 200-300 ล้านบาทเป็นการลงทุนปกติ

แต่บริษัทยังมีการพิจารณาการลงทุนโครงการขนาดใหญ่เช่นเดียวกับโครงการเมกาบางนาพื้นที่ไม่น้อยกว่า 250 ไร่ โดยเป็นการร่วมลงทุนกับไอเกีย(IKEA)ซึ่งคาดว่าจะมีข้อสรุปที่ชัดเจนในปี 55 การลงทุนจะใช้การกู้เงินและระดมทุนโดยปัจจุบันบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุนที่ 0.6 เท่า ถือว่าอยู่ในระดับต่ำแต่หากไม่ต้องการให้หนี้สินต่อทุนเกิน 1 เท่า ใช้วิธีการระดมทุนโดยการออกหุ้นกู้ช่วงต้นปี 55 คาดว่าหากมีการออกหุ้นกู้จะไม่จำนวนมากนักแต่ต้องขึ้นอยู่กับการลงทุนในขณะนั้นด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ