ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก:วิตกกรีซผิดนัดชำระหนี้ ฉุดดาวโจนส์ดิ่ง 258.08 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 4, 2011 06:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้เมื่อคืนนี้ (3 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่ากรีซอาจจะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้และอาจจะไม่ได้รับเงินกู้เบิกจ่ายงวดต่อไป หลังจากกระทรวงการคลังกรีซออกแถลงการณ์ยอมรับว่า กรีซมีแนวโน้มที่จะพลาดเป้าหมายการลดยอดขาดดุลงบประมาณทั้งในปีนี้และปีหน้า ซึ่งความกังวลในเรื่องดังกล่าวได้ฉุดหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงอย่างหนัก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 258.08 จุด หรือ 2.36% ปิดที่ 10,655.30 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 32.19 จุด หรือ 2.85% ปิดที่ 1,099.23 จุด ดัชนี Nasdaq ร่วงลง 79.57 จุด หรือ 3.29% ปิดที่ 2,335.83 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 5.8 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 9 ต่อ 1

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงหลังจากกระทรวงการคลังกรีซออกแถลงการณ์ว่า รัฐบาลกรีซอาจจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการลดยอดขาดดุลงบประมาณ 2554-2555 ตามที่ได้ตกลงไว้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และสหภาพยุโรป (อียู) เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ถดถอยรุนแรงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ กรีซประมาณการว่ายอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลอาจมีอยู่ถึง 8.5% ของจีดีพีในปี 2554 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 7.6% ของจีดีพี และแม้ว่ายอดขาดดุลงบประมาณปี 2555 มีแนวโน้มจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 6.8% ของจีดีพี แต่ก็ยังสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 6.5% ของจีดีพี และสวนทางกับที่คาดการณ์ไว้ว่ารัฐบาลจะมียอดเกินดุลงบประมาณ 1.5% ของจีดีพี

แถลงการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ตลาดเกิดความกังวลว่ากรีซอาจจะผิดนัดชำระหนี้และอาจจะไม่ได้รับเงินกู้เบิกจ่ายงวดที่ 6 จากไอเอ็มเอฟและอียู แม้รัฐบาลกรีซประกาศใช้มาตรการรัดเข็มขัดและการปฏิรูปเศรษฐกิจมูลค่า 6.6 พันล้านยูโร (8.83 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งรวมถึงการกำหนดว่าข้าราชการ 30,000 คนที่อยู่ในบัญรายชื่อ "แรงงานสำรอง" จะได้รับเงินเดือนเพียง 60% ของอัตราเงินเดือนในปัจจุบันและจะถูกปลดออกจากตำแหน่งภายในเวลา 12 เดือน ซึ่งรัฐบาลเชื่อว่ามาตรการปลดข้าราชการรอบแรกในครั้งนี้จะช่วยให้รัฐบาลประหยัดงบประมาณได้ถึง 300 ล้านยูโร (401.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

นักวิเคราะห์จากพรูเดนเชียล ไฟแนนเชียลกล่าวว่า "ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กขณะนี้ขึ้นอยู่ความเคลื่อนไหวในยุโรป โดยเฉพาะสถานะการคลังที่ย่ำแย่ของกรีซที่ทำให้นักลงทุนกังวลว่าจะทำให้วิกฤตหนี้สาธารณะลุกลามในยุโรป"

หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงหนักสุด โดยหุ้นเด็กเซีย ซึ่งเป็นธนาคารสัญชาติฝรั่งเศส-เบลเยี่ยม ดิ่งลง 10% หลังจากมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิสประกาศทบทวนนอันดับความน่าเชื่อถือของเด็กเซีย โดยมีแนวโน้มปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ อันเนื่องมาจากความวิตกเกี่ยวกับฐานะสภาพคล่องของธนาคารเด็กเซีย

ขณะที่หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ร่วงลง 7.6% และปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้แต่เดือนธ.ค. 2551 หลังจากต้นทุนการรับประกันหนี้สินของมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง ส่วนหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 9.6%

หุ้นเอเอ็มอาร์ คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส ดิ่งลง 33% เนื่องจากกระแสความวิตกกังวลที่ว่าปัญหาสภาพคล่องของเอเอ็มอาร์อาจทำให้ทางบริษัทต้องยื่นขอการพิทักษ์จากการล้มละลายจากศาลในสหรัฐ ขณะที่หุ้นยาฮู อิงค์ ร่วงลง 2.7% หลังจากอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง บริษัทอินเตอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ของจีนได้แสดงความต้องการที่จะซื้อกิจการยาฮู อิงค์

ตลาดหุ้นนิวยอร์แทบจะไม่มีปฏิกริยาต่อข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ รวมถึงดัชนีภาคการผลิตเดือนก.ย.ซึ่งขยายตัวที่ระดับ 51.6 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนส.ค.ที่ระดับ 50.6 จุด และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 50.5 จุด ขณะที่ ยอดการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนส.ค.ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 1.4% สู่ระดับ 7.9915 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลง 0.3%

นักลงทุนจับตาดูการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันอังคาร กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยยอดสั่งซื้อของโรงงานเดือนส.ค. วันพุธ ADP Employer Services จะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนในสหรัฐเดือนก.ย. และสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) จะ เปิดเผยดัชนีภาคบริการเดือนก.ย.

วันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ส่วนกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย. และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนส.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ