ทริส จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันของ MBK ที่ระดับ A แนวโน้มคงที่

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday October 13, 2011 13:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. เอ็ม บี เค (MBK) ที่ระดับ “A" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกัน 2 ชุดใหม่มูลค่า 300 ล้านบาทและ 400 ล้านบาท (MBK188A และ MBK188B) ของบริษัทที่ระดับ “A" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ"คงที่" เช่นกัน บริษัทได้นำเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

อันดับเครดิตสะท้อนถึงฐานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งขึ้น และมีกระแสเงินสดที่แน่นอนจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีก ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มธนชาต รวมถึงความสามารถในการรักษาอัตราการก่อหนี้ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ และความยืดหยุ่นด้านการเงินที่ดีจากการลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขายจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากต้นทุนการดำเนินงานที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากสัญญาเช่าที่ดินและทรัพย์สินของศูนย์การค้าฉบับใหม่ที่จะเริ่มในปี 2556 และการขยายสู่ธุรกิจสินเชื่อรถจักรยานยนต์

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงได้รับกระแสเงินสดที่แน่นอนจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีก และคาดว่าบริษัทจะรักษาระดับคุณภาพสินเชื่อรถจักรยานยนต์เอาไว้ในระดับที่ดีจากการมีขั้นตอนการพิจารณาสินเชื่อและกระบวนการจัดเก็บหนี้ที่เข้มงวด ทั้งนี้ จากแผนรายจ่ายฝ่ายทุนที่อยู่ในระดับปานกลางในปี 2554-2555 ทำให้คาดว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนในระดับปัจจุบันเอาไว้ได้

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัท เอ็ม บี เค ก่อตั้งในปี 2517 โดยปัจจุบัน บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือเป็นผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทในสัดส่วนรวม 20% บริษัทดำเนินธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า โรงแรม สนามกอล์ฟ พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย โรงสีข้าว และธุรกิจการเงิน โดยเป็นเจ้าของและบริหารจัดการศูนย์การค้า “เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์" ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่มีชื่อเสียงตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ แม้จะมีธุรกิจที่หลากหลาย แต่ผลประกอบการของบริษัทยังคงขึ้นอยู่กับสินทรัพย์หลักอันได้แก่ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ และ “โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส" เป็นอย่างมาก ซึ่งสินทรัพย์ดังกล่าวตั้งอยู่บนที่ดินเช่าติดกับย่านสยามสแควร์ในกรุงเทพฯ โดยในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้ประมาณ 40% และกระแสเงินสดประมาณ 65% ให้แก่บริษัท

เพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของรายได้ ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัทเอ็ม บี เค ได้ขยายการลงทุนในธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีกเพิ่มขึ้น โดยมีสัดส่วนการลงทุน 31% ใน บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของและบริหารศูนย์การค้าในย่านสยามสแควร์ โดยบริษัทสยามพิวรรธน์เป็นผู้ถือหุ้น 100% ในศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ (18,700 ตารางเมตร, ตร.ม.) และศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์ (24,890 ตร.ม.) และถือหุ้น 50% ในศูนย์การค้าสยามพารากอน (186,010 ตร.ม.)

นอกจากนี้ บริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทและบริษัทสยามพิวรรธน์ในสัดส่วน 50% ยังได้ทำการปรับปรุงตกแต่งพื้นที่ให้เช่าของ “ศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค" (เดิมชื่อ “ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์") พื้นที่ 90,000 ตร.ม. จนแล้วเสร็จและเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในเดือนกรกฎาคม 2553 ในเดือนสิงหาคม 2554 บริษัทได้เปิด “เดอะ ไนน์" ซึ่งเป็นศูนย์การค้าชุมชน (Community Mall) แห่งแรกของบริษัทซึ่งตั้งอยู่บนถนนพระราม 9 โดยมีพื้นที่ค้าปลีก 10,267 ตร.ม. และมีพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่ารวม 9,052 ตร.ม. ณ เดือนสิงหาคม 2554 บริษัทบริหารพื้นที่ค้าปลีกรวม 203,053 ตร.ม. และพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่ารวม 57,973 ตร.ม.

นอกจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่แล้ว ในเดือนเมษายน 2553 บริษัทยังซื้อกิจการของ บริษัท ที ลีสซิ่ง จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจสินเชื่อรถจักรยานยนต์ด้วย โดย ณ เดือนมิถุนายน 2554 บริษัทที ลีสซิ่ง มียอดสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์คงค้าง 901 ล้านบาท จัดว่าเป็นสินเชื่อที่มีคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ดีจากการมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ระดับ 3.38% อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการควบคุมคุณภาพสินเชื่อไปพร้อม ๆ กับการขยายขนาดสินเชื่อนับเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับบริษัทเอ็ม บี เค

แม้ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยจะได้รับผลกระทบจากภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเหตุการณ์ความไม่สงบของการเมืองภายในประเทศเป็นระยะๆ แต่บริษัทก็ยังมีผลประกอบการในระดับที่ดี ในปีบัญชี 2553/2554 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 7,564 ล้านบาทภายหลังการเปิดศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค การเริ่มให้บริการธุรกิจการเงิน และการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรม อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงจาก 32.59% ในปีบัญชี 2552/2553 เป็น 30.04% ในปีบัญชี 2553/2554 เงินทุนจากการดำเนินงานคงอยู่ที่ระดับ 1,700-1,800 ล้านบาทในช่วง 3 ปีบัญชี 2550-2552 แต่เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 3,489 ล้านบาทในปีบัญชี 2552/2553 ซึ่งเป็นผลมาจากการให้เช่าพื้นที่ระยะยาวในศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ในช่วงปลายปี 2552 ซึ่งทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดรับเพิ่มขึ้น 3,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามเงินทุนจากกการดำเนินงานลดลงสู่ระดับ 2,085 ล้านบาทในปีบัญชี 2553/2554 ส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมปรับตัวลดลงจาก 45.88% ในปีบัญชี 2552/2553 เป็น 22.65% ในปีบัญชี 2553/2554 เงินกู้รวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้นจาก 7,604 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 เป็น 9,207 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นจาก ระดับ 38.64% ณ เดือนมิถุนายน 2553 เป็น 42.16% ณ เดือนมิถุนายน 2554 อย่างไรก็ตามคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะปรับตัวดีขึ้นหลังจากไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ครบกำหนด สภาพคล่องของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 บริษัทมีเงินสดจำนวน 2,570 ล้านบาท ในขณะที่เงินลงทุนชั่วคราวของบริษัทมีมูลค่า 4,496 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ