
บริษัทจัดการกองทุนรวม (บลจ.) ประกาศความพร้อมเปิดขายกอง Thai ESGX ครั้งแรกระหว่างวันที่ 2-8 พ.ค. 68 และเปิดให้นักลงทุนสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF ได้ในช่วงวันที่ 13 พ.ค.-30 มิ.ย.68 นี้เท่านั้น โดยมีหลากหลายนโยบายการลงทุน แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขลงทุนหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 65% ซึ่งบรรดาผู้จัดการกองทุนต่างเห็นพ้องว่าตลาดหุ้นไทยอยู่ในจุดที่น่าสนใจ โดยเฉพาะหุ้นปันผล
กองทุน Thai ESG Extra (Thai ESGX) เป็นการลงทุนใหม่ที่แยกออกมาจากกองทุน Thai ESG โดยในปี 2568 มีกำหนดระยะเวลาเข้าลงทุนเพียง 2 เดือน (พ.ค.-มิ.ย.68) พร้อมโอกาสพิเศษกับสิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่ม แบ่งเป็น 2 วงเงินได้แก่ 1) วงเงินใหม่ สิทธิลดหย่อนภาษีปี 68 สูงสุด 300,000 บาท และ 2) วงเงินเดิม ที่สับเปลี่ยนจากกองทุน LTF ได้สิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท แบ่งใช้ปี 68 สูงสุด 300,000 บาท และส่วนเกินทยอยใช้สิทธิในปี 69-72 ปีละเท่าๆ กัน สูงสุดไม่เกินปีละ 50,000 บาท โดยเงื่อนไขการรับสิทธิต้องโอนย้ายหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมดที่ถือครองตั้งแต่ 11 มี.ค. 68 เป็นต้นไป ทุกกองทุน ทุกบลจ.ไป Thai ESGX
นายวิน พรหมแพทย์ ประธานกรรมการบริหาร บลจ. กสิกรไทย ระบุว่า หุ้นไทยปันผลสูง ยังมีความน่าสนใจลงทุนในระยะยาว เนื่องจากคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลดีต่อต้นทุนของบริษัทจดทะเบียน ส่งผลให้กำไรสุทธิมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นและเพิ่มศักยภาพในการจ่ายเงินปันผล
บลจ.กสิกรไทย เปิดตัว 2 กองทุน Thai ESGX ได้แก่ K-HDThaiESGX เน้นลงทุนในหุ้นยั่งยืนปันผลสูง 100% และ K-70ThaiESGX เน้นลงทุนผสมในหุ้นยั่งยืนปันผลสูง 70% และตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน 30% โดยมีรูปแบบให้เลือกลงทุน 2 Share Class ทั้งสำหรับเงินลงทุนใหม่ และสำหรับสับเปลี่ยนจาก LTF
Share Class สำหรับเงินลงทุนใหม่ พร้อมรับสิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุดถึง 300,000 บาท กำหนดเปิดขายครั้งแรกในระหว่างวันที่ 2-8 พ.ค.68 และจะเปิดขายครบทั้ง 2 Share Class อีกครั้งในระหว่างวันที่ 13 พ.ค.-30 มิ.ย.68
"จุดเด่นที่น่าสนใจของกองทุน Thai ESGX จาก บลจ.กสิกรไทย อยู่ที่นโยบายลงทุนในหุ้นไทยยั่งยืนตามดัชนี SET High Dividend 30 Index (SETHD) ซึ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1) หุ้นบริษัทชั้นนำขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพและศักยภาพการจ่ายปันผลสูง ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตในสภาวะตลาดมีความไม่แน่นอน 2) หุ้นในดัชนี SETHD ยังมีการประเมินมูลค่าหุ้น (Valuation) ที่ถูกกว่าดัชนี SET อย่างมีนัยสำคัญ และ 3) หุ้นในดัชนี SETHD กว่า 90% ได้รับการจัดอันดับ SET ESG Rating ในระดับสูง สะท้อนถึงคุณภาพ ผลตอบแทนปันผลสม่ำเสมอ และการคำนึงถึงความยั่งยืน
กอง Thai ESGX จากบลจ.กสิกรไทย บริหารและดำเนินงานด้วยกลยุทธ์เชิงรุก (Active Management) เน้นลงทุนหุ้นที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับกองทุน K-VALUE ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยตามดัชนี SETHD เช่นกัน โดยกองทุน K-VALUE สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงที่สุดเป็นอันดับสองในกลุ่มกองทุนหุ้นไทย (Equity Large-cap) อยู่ที่ -2.6% ซึ่งมากกว่าดัชนี SET ที่ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ -16.2% (ที่มา: Morningstar ณ 31 มี.ค. 68)
นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ (SCBAM) เปิดเผยว่า SCBAM เปิดขายกองทุน Thai ESGX พร้อมกัน 4 กองทุน ออกแบบกลยุทธ์การลงทุนหลากหลายและคัดสรรหลักทรัพย์ที่ผ่านเกณฑ์ ESG เพื่อตอบทุกความต้องการของผู้ลงทุนทุกกลุ่ม มีให้เลือกลงทุนทั้งชนิดสะสมมูลค่าและชนิดจ่ายเงินปันผล โดยกองทุน Thai ESGX ของ SCBAM จะแบ่งเป็น 3 สไตล์
สไตล์แรก คือ สไตล์ผสมกับ กองทุน SCBT70X (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ผสม 70 ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ) กองทุนรวมผสมที่ลงทุนเชิงรุก บาลานซ์การลงทุนกับหุ้นไทยและตราสารหนี้ ESG มีสัดส่วนลงทุนหุ้นไทยที่ไม่เกินร้อยละ 70
สไตล์ถัดมา คือ สไตล์ Active แบ่งเป็น 2 กองทุน คือ กองทุน SCBTAPX (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นแอคทีฟ พลัส ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ) กองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนเชิงรุกกับหุ้นไทย ESG และกระจายความเสี่ยงด้วยหุ้นต่างประเทศที่มีนโยบายตามเกณฑ์ ESG ไม่เกินร้อยละ 20 และกองทุน SCBTAX (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นแอคทีฟ ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ) กองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนเชิงรุกกับหุ้นไทยที่โดดเด่นด้าน ESG และมีมูลค่าพื้นฐานที่น่าสนใจในสัดส่วนที่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80
และสุดท้ายสไตล์ Passiveกับ กองทุน SCBTS100X (กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ดัชนี SET100FF ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ) กองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนเชิงรุกกับหุ้นไทยตามดัชนี SET100 Free Float ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของราคากลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทย
โดย SCBAM จะเปิดเสนอขาย 4 กองทุนพร้อมกันวันที่ 2-8 พ.ค.68 และลงทุนต่อเนื่องได้ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.-30 มิ.ย.68 เท่านั้น พร้อมจัดแคมเปญพิเศษมอบ Fund Back จากการลงทุนในกอง Thai ESGX สูงสุด 600 บาทสำหรับวงเงินใหม่เมื่อลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าว
กอง Thai ESGX จาก SCBAM แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
1) เงินลงทุนใหม่ โดยจะมีให้เลือกลงทุน ทั้งชนิดสะสมมูลค่า 2025 (25A) และชนิดจ่ายเงินปันผล 2025 (25D) ซึ่งจะมีรายชื่อกองทุน Thai ESGX ดังนี้ SCBT70X(25A), SCBT70X(25D), SCBTAPX(25A), SCBTAPX(25D), SCBTAX(25A), SCBTAX(25D), SCBTS100X(25A), SCBTS100X(25D)
2) เงินลงทุนเดิมที่สับเปลี่ยนจากกองทุน LTF โดยจะเปิดให้สับเปลี่ยนได้ทุกวันทำการตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 30 มิถุนายน 2568 โดยมีให้เลือกลงทุน ทั้งชนิดเงินลงทุนเดิมแบบสะสมมูลค่า (LTFA) และชนิดเงินลงทุนเดิมแบบปันผล (LTFD) ซึ่งจะมีรายชื่อกองทุน Thai ESGX ดังนี้ SCBT70X(LTFA), SCBT70X(LTFD), SCBTAPX(LTFA), SCBTAPX(LTFD), SCBTAX(LTFA), SCBTAX(LTFD), SCBTS100X(LTFA), SCBTS100X(LTFD)
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย KTAM) เปิดเผยว่า บริษัทเปิดเสนอขายกลุ่มกอง Thai ESGX จำนวน 3 กองทุน แบ่งเป็นชนิด Class D สำหรับเงินลงทุนใหม่ และชนิด Class L สำหรับเงินลงทุนที่สับเปลี่ยนจาก LTF โดยเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 2-8 พ.ค. 68 และเปิดให้นักลงทุนที่ต้องการสับเปลี่ยนจาก LTF สามารถสับเปลี่ยนได้ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.-30 มิ.ย. 68 นี้เท่านั้น
ทั้ง 3 กองทุนจะมีทั้งประเภทกองทุนรวมตราสารทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นไทย และกองทุนรวมผสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงไปยังตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์อื่นๆ รวมถึงสินทรัพย์ในต่างประเทศเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุน โดยกองทุนทั้งหมดมีการบริหารกองทุนแบบเชิงรุก(ActiveManagement) ประกอบด้วย
- กองทุนเปิดกรุงไทย อิควิตี้ พลัส 70/30 ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (KTEQ70PLUSX) (ระดับความเสี่ยง 5) เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET และ mai โดยเน้นบริษัทที่มีความโดดเด่นด้าน ESG โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 70% ของ NAV และตราสารหนี้ ESG โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกินกว่า 30% ของ NAV โดยผู้จัดการกองทุนอาจพิจารณานำเงินบางส่วนไปลงทุนในต่างประเทศหรือสินทรัพย์อื่นๆ ตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกิน 20% ของ NAV เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ ปานกลางค่อนข้างสูง และผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนบางส่วนไปยังตราสารหนี้
- กองทุนเปิดกรุงไทย อิควิตี้ พลัส ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (KTEQPLUSX) (ระดับความเสี่ยง 6) เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET และ mai โดยเน้นบริษัทที่มีความโดดเด่นด้าน ESG โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยอาจพิจารณาลงทุนในต่างประเทศหรือสินทรัพย์อื่นๆ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกิน 20% ของ NAV ตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง และผู้ที่ต้องการหาโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์อื่น หรือในต่างประเทศเพิ่มขึ้น
- กองทุนเปิดกรุงไทย หุ้นปันผล ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (KTEQDIVX) (ระดับความเสี่ยง 6) เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET และ mai ที่มีปัจจัยพื้นฐาน ผลการดำเนินงานที่ดี มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดี สม่ำเสมอ และ/หรือ มีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลในอนาคต โดยเน้นบริษัทที่มีความโดดเด่นด้าน ESG โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยจะเน้นลงทุนในประเทศเท่านั้น เหมาะกับผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง และผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นไทยในกลุ่ม ESG ที่ประวัติการจ่ายปันผลที่ดี
นอกจากนี้ ยังได้จัดโปรโมชันตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค.-30 มิ.ย. 68 นี้ ผู้ลงทุนใหม่ หรือผู้ลงทุนที่สับเปลี่ยนจาก LTF ไปยังกองทุน Thai ESGX ทุก ๆ ยอดเงินลงทุนสุทธิ 50,000 บาท และคงยอดเงินลงทุนสุทธิไว้ถึงวันที่ 30 เม.ย.69 จะได้รับหน่วยลงทุนของกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ระยะสั้น พลัส (KTSTPLUS) จำนวน 100 บาท
บลจ.เกียรตินาคินภัทร จะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเคเคพี บาลานซ์ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (KKP BL THAI ESGX) โดยในช่วงเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 2-8 พ.ค.68 จะเปิดเสนอขายเฉพาะหน่วยลงทุนชนิดเงินลงทุนใหม่ (KKP BL THAI ESGX-2568)
กองทุน KKP BL THAI ESGX เป็นกองทุนรวมผสมที่เน้นลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ไทยกลุ่มความยั่งยืน เพื่อเป็นทางเลือกแก่นักลงทุนที่มองหาโอกาสสร้างผลตอบแทนระยาวพร้อมสิทธิลดหย่อนภาษี
สำหรับนักลงทุนที่ถือ LTF เดิม ที่ต้องการสับเปลี่ยน LTF เข้ามายังกองทุน THAI ESGX เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี บลจ.เกียรตินาคินภัทร จะเปิดให้บริการหน่วยลงทุนชนิดเงินลงทุนเดิม (KKP BL THAI ESGX-for LTF) ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.68 เป็นต้นไป โดยจะรับสับเปลี่ยนเฉพาะกองทุน LTF ภายใต้การจัดการของ บลจ.เกียรตินาคินภัทร เท่านั้น สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีปี 68 ต้องทำการซื้อหรือสับเปลี่ยนเข้ากองทุน THAI ESGX ดังกล่าวภายในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.68
กองทุน KKP BL THAI ESGX ระดับความเสี่ยง 5 เป็นกองทุนรวมผสมที่มีนโยบายเน้นลงทุนในทรัพย์สินกลุ่มความยั่งยืน โดยจะมีการลงทุนและมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ (net exposure) ในทรัพย์สินดังกล่าวโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน (NAV) โดยลงทุนในตราสารทุนในกลุ่มหุ้นยั่งยืนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของ NAV ซึ่งเน้นลงทุนในตราสารทุนที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ และ/หรือมีแนวโน้มหรือศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลในอนาคต และมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ ทั้งตราสารภาครัฐ ตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์และ/หรือตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชน
น.ส.ทิพย์วดี อภิชัยสิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวนวยการ บลจ. แอสเซท พลัส เปิดตัว 2 กองทุนใหม่ ได้แก่ กองทุนเปิด แอสเซทพลัส ผสมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (ASP-MIX ThaiESGX) ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ไทยที่ได้รับการยอมรับด้าน ESGพร้อมปรับพอร์ตตามสภาวะตลาดอย่างยืดหยุ่นด้วยทีมผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีและลดโอกาสขาดทุนในสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย
กองทุนเปิด แอสเซทพลัส ปันผล หุ้นไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (ASP-DEQ ThaiESGX) ลงทุนในหุ้นที่ได้รับการยอมรับด้าน ESG และหุ้นที่มีปันผลสูง บริหารแบบ Active เหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาว พร้อมรับผลตอบแทนที่เติบโตไปกับความยั่งยืน
ทั้ง 2 กองทุน บริหารโดยผู้เชี่ยวชาญการลงทุนหุ้นไทย และการใช้ Investment Scorecard ในการคัดเลือกหุ้นแบบเชิงลึก เพื่อวิเคราะห์คุณภาพและแนวโน้มความเติบโตของธุรกิจ ซึ่งจะ IPO วันที่ 2-8 พ.ค.68 นี้

