
บมจ.ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น [TNCC] ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 612,451,687 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2 บาท และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) โดยมี บล.ฟินันซ่า เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น
วัตถุประสงค์การใช้เงินจากการระดมทุนครั้งนี้เพื่อ 1. ใช้ในการลงทุนเพื่อพัฒนาและขยายธุรกิจของบริษัทฯ และ 2. ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนทั่วไปสำหรับการดำเนินงานของบริษัท
บริษัทฯ เป็นผู้นำในตลาดการประกอบธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (Non-Alcoholic Ready-to-Drink หรือ NARTD) ประเภทเครื่องดื่มอัดลม (Carbonated Soft Drinks หรือ CSD) ชั้นนำในประเทศไทย โดยได้รับสิทธิในการจัดเตรียม บรรจุ จัดจำหน่าย และจำหน่ายเครื่องดื่มครอบคลุม 63 จังหวัดจากทั้งหมด 77 จังหวัดในประเทศไทย ภายใต้สัญญาระหว่างบริษัทฯ กับ The Coca-Cola Company และ Schweppes Holdings Limited
บริษัทยังถือหุ้นทางอ้อม 100% ใน Lao Coca-Cola Bottling Co., Ltd. (LCCB) ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตให้จัดจำหน่ายเครื่องดื่ม (Bottler) ซึ่งประกอบธุรกิจในประเทศลาวภายใต้สัญญาในลักษณะเดียวกันกับสัญญาระหว่างบริษัทฯ กับ The Coca-Cola Company และ Schweppes Holdings Limited โดยเครื่องดื่มที่บริษัทได้รับอนุญาตในการจัดเตรียม บรรจุ จัดจำหน่าย และจำหน่ายในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้จัดจำหน่ายเครื่องดื่มในประเทศไทย และ/หรือ ในประเทศลาว รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์โคคา-โคล่า แฟนต้า สไปร์ท ชเวปส์ มินิทเมด เอแอนด์ดับบลิว (เฉพาะในประเทศไทย) ฟิวซ์ที และน้ำทิพย์ เป็นต้น
บริษัทยังได้เข้าทำสัญญาหลายฉบับ (เช่น สัญญาซือขายหุ้น สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น และสัญญาจองซือหุ้น) กับ CC Cambodia Holdings Pte. Ltd. (CCCH) Coca-Cola Indochina Pte. Ltd. (CCIC) และ Swire Beverages (South East Asia) Pte. Ltd. (SWB) ซึ่งล้วนเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นทังหมดโดย Swire Coca-Cola Limited หนึ่งในผู้ที่ได้รับอนุญาตให้จัดจำหน่ายเครื่องดื่ม (Bottler) ของ The Coca-Cola Company รายใหญ่ทีสุดในโลก ส่งผลให้ Swire Coca-Cola กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทางอ้อมของบริษัทฯ วัตถุประสงค์เพื่อสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม
บริษัทได้เข้าซื้อหุ้น 30% ในบริษัทย่อยของ Swire Coca-Cola ที่เป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตให้จัดจำหน่ายเครื่องดื่ม (Bottler) ในประเทศกัมพูชา และบริษัทฯ อยู่ในระหว่างการเข้าลงทุน 30% ของทุนก่อตั้ง (Charter Capital) ทั้งหมดในบริษัทย่อยของ Swire Coca-Cola ที่เป็นผู้ที่ได้รับ
ในปี 67 บริษัทได้จำหน่ายเครื่องดื่มที่ได้รับอนุญาตให้จัดจำหน่ายจำนวนรวม 404 ล้านยูนิตเคส ในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้จัดจำหน่ายเครื่องดื่ม โดย ณ วันที่ 31 ธ.ค.67 บริษัทฯ มีศูนย์กระจายสินค้ามากกว่า 50 แห่ง และโรงงานผลิตเครื่องดื่มจำนวน 5 แห่งในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้จัดจำหน่ายเครื่องดื่มในประเทศไทย จำนวนพนักงาน (รวมการจ้างแรงงานภายนอก (Outsource) ตามความต้องการในฤดูกาลผลิต) มากกว่า 8,000 คน และบริษัทฯ ยังมีเครือข่ายที่ใช้ในการกระจายเครื่องดื่มที่ได้รับอนุญาตให้จัดจำหน่ายในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้จัดจำหน่ายเครื่องดื่มที่ให้บริการร้านค้าประมาณ 495,000 แห่งในประเทศไทย
บริษัทมีฐานลูกค้าหลากหลายในไทยประกอบด้วย (1) ร้านค้าแบบดั้งเดิม เช่น ร้านค้าส่งแบบดั้งเดิม (ร้านยี่ปั๊ว) ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม (ร้านโชห่วย) เป็นต้น และ (2) ร้านค้าแบบสมัยใหม่ เช่น ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต เป็นต้น เช่นเดียวกับในประเทศลาว กลุ่มลูกค้าของ LCCB ประกอบด้วยเครือข่ายร้านค้าและผู้จัดจำหน่ายในลักษณะใกล้เคียงกันกับกลุ่มลูกค้าในประเทศไทยของบริษัทฯ
ณ วันที่ 31 ธ.ค.67 บริษัทมีโรงงานผลิตเครื่องดื่ม 5 แห่งในไทย สายการผลิต 22 สาย กำลังการผลิตรวมสูงสุด 564 ล้านยูนิตเคสต่อปี และมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งมากกว่า 50 แห่ง ประกอบด้วยคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และรถขนส่งสินค้าที่มีเทคโนโลยีเทเลเมติกส์ (Telematics) และกล้องปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทันสมัยและยานพาหนะรวมกันมากกว่า 1,500 คันสำหรับประกอบธุรกิจในประเทศไทย ส่วนในลาว โครงสร้างห่วงโซ่อุปทานของ LCCB ประกอบด้วยโรงงานผลิตเครื่องดื่ม 1 แห่ง พร้อมทั้งมีคลังสินค้าและรถขนส่งสินค้า
บริษัทวางแผนดำเนินกลยุทธ์แบบเฉพาะเจาะจงสำหรับประเภทของร้านค้าของลูกค้าในแต่ละช่องทางอย่างต่อเนื่อง พร้อมริเริ่มแนวทางใหม่ ๆ โดยใช้ข้อมูลเชิงลึก สำหรับช่องทางร้านค้าแบบดั้งเดิมจะขยายการเข้าถึงและพัฒนาการเข้าถึงร้านค้าเครือข่ายของร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมและร้านค้าส่งแบบดั้งเดิมอย่างต่อเนื่อง ส่วนร้านค้าแบบสมัยใหม่ จะร่วมกับลูกค้าเพื่อให้หมวดผลิตภัณฑ์โดยรวมเติบโตขึ้น พร้อมจัดแสดงสินค้า ณ จุดแสดงสินค้าถาวรในร้านค้าแบบสมัยใหม่ และเพิ่มจุดวางอุปกรณ์ "ICY Coke" ทำเครื่องดื่มอัดลมแช่แข็งในร้าน 7-11 เพื่อสร้างความตื่นเต้นและเพิ่มยอดขาย อีกทั้ง บริษัทตั้งเป้าขยายร้านค้าหลักพร้อมจุดวางสินค้าที่มีคุณภาพในไฮเปอร์มาร์เก็ต เช่น โลตัส และบิ๊กซี
โครงสร้างผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 21 เม.ย.68 มีผู้ถือหุ้นหลักอันดับ 1 คือ SWB ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งในสิงคโปร์ เป็นบริษัทย่อยของ SWP ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HKSE) ถือหุ้นทั้งหมดทางอ้อมผ่าน Swire Beverage Holdings Limited และ Swire Coca-Cola
SWB ถือหุ้น 55.59% ใน TNCC ซึ่ง SWB ได้เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้นกับ Bevsite ซึ่งผู้ถือหุ้นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทยที่ถือหุ้นใน Bevsite มีสิทธิจะขายหุ้น (Put Option) จำนวน 276,342,760 หุ้น ให้แก่ SWB ซึ่งคาดว่าจะทำรายการในวันแรกที่หุ้นของบริษัทฯ เริ่มเทรดผ่านการซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Trade Report-Big Lot) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ หากมีการทำรายการดังกล่าวสัดส่วนหุ้นของ SWB หลัง IPO จะลดเหลือ 54.54%
ขณะที่ผู้ถือหุ้นอันดับ 2 คือ TNTL ถือหุ้น 29.95% หลัง IPO จะลดเหลือ 26.95% โดย TNTL เป็นบริษัทโฮลดิ้ที่มีผู้ถือหุ้นในชั้นสุดท้าย คือบุคคลในครอบครัวสารสิน ครอบครัวบุญสูง และครอบครัวเคียงศิริ
สำหรับผลประกอบการทางการเงินปี 2565, 2566 และ 2567 บริษัทมีรายได้รวม 35,989.2 ล้านบาท 39,295.0 ล้านบาท และ 41,314.2 ล้านบาท ตามลำดับ กำไรสุทธิ 3,083.24 ล้านบาท 3,374.41 ล้านบาท และ 4,379.08 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิร้อยละ 8.6 ร้อยละ 8.6 และร้อยละ 10.6 ตามลำดับ โดยรายได้หลักราว 59% มาจากสินค้าโคคา-โคล่า
ณ ว้นที่ 31 ธ.ค.67 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 36,749 ล้านบาท หนี้สินรวม 11,607 ล้านบาท และส่วนผู้ถือหุ้นรวม 25,142 ล้านบาท
บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหลังจัดสรรสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนด