
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนเม.ย.68 (สำรวจระหว่างวันที่ 21-30 เม.ย.68) พบว่า ดัชนีในอีก 3 เดือนข้างหน้ายังคงอยู่ในเกณฑ์ "ซบเซา" ที่ระดับ 64.10
นักลงทุนมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือการไหลเข้าของเงินทุน และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สงครามการค้า รองลงมาคือสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และสถานการณ์การเมืองในประเทศ
ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
- ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ก.ค. 68) อยู่ในเกณฑ์ "ซบเซา" (ช่วงค่าดัชนี 40-79) ที่ระดับ 64.10
- ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ "ซบเซา" ในขณะที่กลุ่มกลุ่มนักลงทุนสถาบัน อยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรง"
- หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดธนาคาร (BANK)
- หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดยานยนต์ (AUTO)
- ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
- ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สงครามการค้า
ผลสำรวจรายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคลเพิ่มขึ้น 9.9% มาอยู่ที่ 42.65 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ทรงตัวอยู่ที่ 60.00 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศเพิ่ม 17.7% มาอยู่ที่ 130.77 และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศทรงตัวอยู่ที่ระดับ 66.67
ในเดือนเม.ย. 68 ตลาดทุนไทยเผชิญกับความผันผวนอย่างมากจากทั้งการประกาศมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ การที่เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวช้า ภาคการท่องเที่ยวไม่เติบโตตามคาด รวมถึงการที่ Moodys rating ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยเป็นเชิงลบ (Negative Outlook) จากเดิมที่มีเสถียรภาพ (Stable Outlook) อย่างไรก็ตาม ยังมีแรงหนุนจากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 1.75%
SET Index ณ สิ้นเดือนเม.ย. 68 ปิดที่ 1,197.26 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.4% จากเดือนก่อนหน้า ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนเม.ย. 68 อยู่ที่ 42,025 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 14,588 ล้านบาท ตั้งแต่ต้นปี 68 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 54,567 ล้านบาท
ปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ นโยบายการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ระหว่างสหรัฐฯและประเทศเศรษฐกิจหลัก การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศทั้งในรัสเซีย-ยูเครนที่ยังไม่คลี่คลาย และความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานในบริเวณแคว้นแคชเมียร์กลับมารุนแรงขึ้นอีกครั้ง
ในส่วนของปัจจัยในประเทศ ได้แก่ การเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ การเพิ่มเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยภายในเดือน พ.ค.-มิ.ย. 68 ผ่านการสับเปลี่ยนกองทุน LTF มายังกองทุน ThaiESGX และเปิดให้ลงทุนเพิ่มในกองทุน ThaiESGX เพื่อลดหย่อนภาษีปี 68 ผ่านการลงทุนใน ThaiESGX ได้สูงสุด 6 แสนบาท