Cryptocurrency และ Digital Asset เริ่มขยับเข้ามาใกล้เราเข้าไปทุกที แถมมีแนวโน้มว่าจะได้ใช้งานกันเร็ว ๆ นี้ด้วย เพราะล่าสุดทาง Line Application ได้จับมือกับ Tether ผู้สร้างเหรียญ USDT เพื่อพัฒนาและจะนำ USDT มาใช้ภายในแพลตฟอร์ม Line ในอนาคตเราอาจจะได้ใช้ USDT มากดซื้อสติ๊กเกอร์ใน Line ก็เป็นได้!!
ลองนึกภาพกันดูว่าถ้าเกิดเราสามารถรับส่ง Stablecoin อย่าง USDT ผ่าน App Chat อย่าง Line Application ได้ จะเป็นยังไง
ล่าสุดทาง Tether ได้ร่วมมือกับ Line Next ซึ่งเป็นแผนก Web3 ของ Line Application เปิดตัวเหรียญ Stablecoin USD ภายใต้ข้อตกลงว่า ผู้ใช้งาน Line จะสามารถรับส่ง USDT ได้โดยตรงภายในแอป โดยจะถูกรวมอยู่ในระบบ Mini DApp และกระเป๋าเงินแบบ self-custodial ของ LINE ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง Stablecoin ได้ง่ายขึ้นผ่านอินเทอร์เฟซที่พวกเขาใช้งานอยู่เป็นประจำ
ฟังแล้วอาจจะยังนึกภาพไม่ออก ให้ทุกคนนึกถึง line Wallet ที่เรามักจะใช้เงินเราซื้อเหรียญ ซื้อ coin แล้วไปซื้อสติ๊กเกอร์ หรือธีมต่าง ๆ อีกไม่นาน Stablecoin อย่าง USDT ก็จะถูกใช้งานในลักษณะใกล้เคียงกัน
และสำหรับเราคนไทย ก็อาจจะได้ใช้ Cryptocurrency โดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เรามีการพูดถึงรัฐแอริโซนา และ ผู้ว่าการรัฐ Katies Hobbs ที่สภานิติบัญญัติของรัฐแอริโซนาได้ผ่านร่างกฎหมายสำคัญ ซึ่งอนุญาตให้รัฐสามารถลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลได้ แต่เหมือนจะมีสะดุด เพราะ Katies Hobbs เองไม่เห็นด้วย และได้มีการออกหนังสือชี้แจงว่ายังไม่มั่นใจในสินทรัพย์ที่ยังไม่เคยผ่านการพิสูจน์มาก่อน
แต่คราวนี้เรามีรัฐที่อนุมัติกฎหมายจัดตั้งกองทุนสำรองบิทคอยน์แล้ว นั่นก็คือ นิวแฮมป์เชอร์!!
ทางผู้ว่าการรัฐ Kelly Ayotte ได้ลงนามผ่านร่างกฎหมาย House Bill 302 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งกฎหมายใหม่นี้เปิดทางให้เหรัญญิกรัฐสามารถนำเงินทุนของรัฐสูงสุด 5% ไปลงทุนใน Bitcoin หรือสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ ที่มีมูลค่าตลาดรวมเกิน 500,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งตอนนี้ก็มีแต่ Bitcoin เท่านั้นที่เข้าเกณฑ์
โดยกฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ใน 60 วัน สิ่งที่น่าสนใจคือ การตัดสินใจครั้งสำคัญของ รัฐนิวแฮมป์เชอร์ นั้นสวนทางกับความพยายามของหลาย ๆ รัฐในอเมริกาที่พยายามผลักดันกฎหมายในลักษณะเดียวกันแต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นทั้ง แอริโซนา หรือ ฟลอริด้า
แต่แม้จะมีอุปสรรคมากมาย การอนุมัติครั้งสำคัญของ รัฐนิวแฮมป์เชอร์ ก็อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของกระแสใหม่ที่จุดประกายให้รัฐอื่นๆ หันกลับมาพิจารณานโยบายในลักษณะเดียวกันอีกครั้งหนึ่งก็ได้
มาอีกตัวแล้วกับ VanEck ที่ได้ยื่นขออนุมัติ Spot BNB ETF กับ SEC สหรัฐ ซึ่งเป็นกองทุน Spot BNB ETF ตัวแรกในสหรัฐ
โดยในรายละเอียด กองทุน Spot BNB ETF ของ VanEck จะอ้างอิงราคาของ BNB จากแพลตฟอร์มเว็บเทรดคริปโทฯ ชั้นนำ 5 แห่ง โดยกองทุนจะถือครองเหรียญ BNB จริง ๆ ไว้ในระบบ และมีแผนจะเข้าร่วมระบบการ staking ด้วย หากได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล
และรายได้จากรางวัลของการ staking จะถูกนับเป็นรายได้ของกองทุน ซึ่งจะไม่มีการเคลมเหรียญจากการฟอร์ก (fork) หรือ airdrop ใด ๆ ทั้งสิ้น
ในแง่ของการซื้อขาย ETF การทำธุรกรรมจะเกิดขึ้นเป็นชุดใหญ่ที่เรียกว่า "Baskets" ซึ่งเปิดให้เฉพาะนักลงทุนสถาบันที่ได้รับสิทธิ์เท่านั้น
ส่วนในฝั่งของนักลงทุนรายย่อยนั้น จะสามารถซื้อขาย กองทุน ETF เหล่านี้ได้ ผ่านตลาดรองเหมือนกับหุ้นทั่วไป โดยราคาจะเคลื่อนไหวตามกลไกอุปสงค์-อุปทานในตลาด และขึ้นอยู่กับมูลค่าของเหรียญ BNB ที่กองทุนถืออยู่เป็นหลัก
นอกจากนี้ ทาง VanEck ยังเปิดเผยว่า กองทุนได้รับเงินทุนเริ่มต้นจากนักลงทุนเอกชนแล้ว โดยเงินดังกล่าวถูกนำมาใช้ในการซื้อ "Seed Shares" ซึ่งจะถูกแลกเปลี่ยนเป็น "Seed Creation Baskets" หรือชุดหน่วยลงทุนแรกของ ETF ที่อ้างอิงตามมูลค่าของเหรียญ BNB ในช่วงเวลานั้น
อย่างไรก็ตาม ทาง VanEck ได้ออกมาเตือนว่า กองทุนนี้มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้ เนื่องจากราคาของ BNB มีความผันผวนสูง อีกทั้งเงินลงทุนในกองทุนยังไม่ได้รับการคุ้มครองจาก FDIC หรือหน่วยงานของรัฐใด ๆ ทั้งสิ้น
ถ้ามอง 2 มุม นับว่าเป็นกองทุนที่เสี่ยงสูงจริง ๆ เพราะ BNB เป็น Native Token ของ Binance ซึ่งเราไม่สามารถรู้อนาคตได้เลย พอเจออย่างนี้เข้าไป SEC สหรัฐมีคิดหนักแน่นอน
https://youtu.be/Gt6by-jEGDM