
โบรกเกอร์ต่างเห็นพ้องเชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.ช.การช่าง [CK] คาดไตรมาส 1/68 พลิกกลับมามีกำไร 145-202 ล้านบาท จากขาดทุน 171 ล้านบาทในไตรมาส 4/67 จากที่รับรู้งานระบบ (M&E) ของรถไฟฟ้าสายสีส้มมูลค่า 2-3 พันล้านบาทที่ได้รับจากบริษัทลูกรายสำคัญอย่าง BEM
มองถัดไป CK รับประโยชน์จากบริษัทลูกต่อเนื่องทั้งงานก่อสร้างและเงินปันผล ซึ่งบริษัทลูกทั้ง CKP BEM TTW ที่มีส่วนแบ่งกำไรให้กับบริษัทแม่อย่างแข็งแรง โดยไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ปี 68 กำไรสุทธิจะเติบโตต่อเนื่อง ซึ่ง CK ได้รับเงินปันผลจาก TTW ไตรมาสละประมาณ 230 ล้านบาท และจะรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนโครงการหลวงพระบางอีกด้วยในกลางปีนี้
CK มี Backlog ที่แข็งแกร่งเกือบ 2 แสนล้านบาท รองรับการสร้างรายได้ต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีนี้ ปีละราว 3-4 หมื่นล้านบาท และยังมีโอกาสได้งานใหม่เติมเข้ามาจากงานโครงสร้างพื้นฐานที่ทยอยออกมาเปิดประมูลทั้งมอเตอร์เวย์ รถไฟสายสีแดง เป็นต้น และงานที่ได้รับแน่นองาน Double Deck จาก BEM ที่คาดว่าปีนี้น่าจะมีความชัดเจน
ช่วงบ่ายวันนี้ราคาหุ้น CK เคลื่อนไหวอยู่ที่ 14.30 บาท
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาซื้อขาย (บาท/หุ้น)
ดาโอ ซื้อ 22.00
บัวหลวง ซื้อ 21.50
พาย ซื้อ 21.20
ทิสโก้ ซื้อ 20.50
นูฑโอบี เคย์เฮียน ซื้อ 20.20
ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 20.00
ธนชาต ซื้อ 20.00
เคจีไอฯ Outperform 18.50
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++น.ส.ธัญญธร ทรงวุฒิ ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน (บลป.) เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด คาดว่า CK จะรายงานผลประกอบการในไตรมาส 1/68 กำไรสุทธิ 202 ล้านบาท จากขาดทุน 171 ล้านบาทในไตรมาส 4/67 จากรายได้งานก่อสร้างเติบโต โดยเฉพาะการรับรู้รายได้จากงานระบบรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งงานนี้ทั้งโครงการมีมูลค่า 2.7 หมื่นล้านบาท และยังมีงานโยธารถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันตกมูลค่า 8.2 หมื่นล้านบาท
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นคาดอยู่ที่ 7.3% ใกล้เคียงในไตรมาส 4/67 นอกจากนี้ บริษัทลูก อย่าง บมจ.ซีเคเพาเวอร์ [CKP] ฟื้นตัวจากปีก่อน และ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ [BEM]
ผลประกอบการ CK คาดว่าจะยังเติบโตต่อเนื่อง และในไตรมาส 2-3 ปี 68 ผลประกอบการน่าจะเร่งตัวขึ้นจากไตรมาส 1/68 และยังได้รับเงินปันผลจาก บมจ.ทีพีดับบลิว [TTW] ราว 230 ล้านบาท/ไตรมาส ที่จะได้รับในไตรมาส 2-3 นอกจากนี้ จะได้รับกำไรจากการขายเงินลงทุนในโครงการเขื่อนหลวงพระบาง (Luang Prabang hydro dam)
ประเมินกำไรสุทธิ CK ในปี 68 ที่ 1,498 ล้านบาท เป็นการเติบโตอย่างมั่นคง ด้วยจุดเด่นที่มีงานในมือ (Backlog) สูงถึง 1.97 หมื่นล้านบาท หากรับรู้รายได้ปีละ 3-4 หมื่นล้านบาทจะทยอยรับรู้ได้ 4-5 ปี ขณะที่มองไปข้างหน้า งานใหม่จะมีเข้ามาเติมได้อีก อาทิ งานทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck) มูลค่า 3.5 หมื่นล่านบาท ที่ BEM อยู่ระหว่างรอการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.)เสนอ ครม.คาดว่าน่าจะเห็นในครึ่งปีหลังหากผ่านก็สามารถก่อสร้างได้เลย และยังมีงานมอเตอร์เวย์ งานโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง โครงการรถไฟความเร็วสูง โดย CK ไม่จำเป็นต้องแข่งขัน แต่สามารถเลือกรับงานได้เพื่อรักษามาริ์จิ้น จึงคงคำแนะนำ"ซื้อ"ที่ราคาเป้าหมาย 20 บาท
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) คาดว่า CK จะแจ้งกำไรไตรมาส 1/68 ฟื้นตัวดีมาที่ 145 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% YoY และพลิกกลับจากขาดทุนสุทธิ 171 ล้านบาทในไตรมาส 4/67 ขณะที่คาดรายได้คาดว่าจะเติบโต 10% YoY มาอยู่ที่ 1.05 หมื่นลบ. โดยรวมสัญญางานระบบ (M&E) ของรถไฟฟ้าสายสีส้มมูลค่า 2-3 พันลบ.แล้ว
ในแง่อัตรากำไรขั้นต้นน่าจะอยู่ที่ราว 7.5% ส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารเราประเมินว่าจะทรงตัว YoY ราว 525 ลบ. โดยที่ต้นทุนการเงินก็น่าจะลดลงเล็กน้อยจากฐานไตรมาส 4/67 สูง โดยมีเงินกู้ระยะสั้นเพิ่มมา ด้านส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครืออาจอยู่ที่ราว 265 ลบ. (+60% YoY) โดยไม่มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ปัจจุบันนี้ CK ยังไม่ได้ลงนามในสัญญาใดๆ ดังนั้น backlog จึงน่าจะลดลงเล็กน้อยที่ต่ำกว่า 2 แสนลบ.
ปัจจัยหนุนหลักคือ i) ประสิทธิภาพการคุมค่าใช้จ่ายได้ดี, ii) ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง และ iii) ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครือมากขึ้นผลจากไม่มีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน (Fx) โดยปกติแล้วไตรมาส2 และ ไตรมาส 3 จะเป็นช่วง high season ที่มีผลประกอบการโดดเด่น หลักๆ จากมีเงินปันผลรับของ CKP และ BEM ซึ่งเป็นบริษัทร่วมของ CK ยิ่งไปกว่านั้น upside น่าจะมาจากกำไรที่อาจเกิดขึ้นจากการขายเงินลงทุนในโครงการเขื่อนหลวงพระบาง (Luang Prabang hydro dam) ภายในกลางปี 2568 นี้
กำไรในไตรมาส 2-3 ที่แข็งแกร่งส่วนใหญ่มาจากเงินปันผลรับจาก TTW มูลค่าราว 232 ลบ.ต่อไตรมาส อีกทั้ง BEM ซึ่งเป็นบริษัทในเครือก็จะช่วยดันกำไรให้ดีขึ้นด้วย ยิ่งกว่านั้น upside อื่นน่าจะมาจากการรับรู้กำไรของการขายเงินลงทุนในโครงการเขื่อนหลวงพระบางในช่วงกลางปี 68 หรืออย่างช้าในไตรมาส 3/68 มูลค่า 2.7 พันลบ. ซึ่งเรายังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการกำไร เมื่อโครงการเขื่อนหลวงพระบางเปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกันแทนที่จะเป็นบริษัทร่วมจะทำให้ CK ไม่ต้องรับรู้ส่วนแบ่งกำไร/ขาดทุนจากบริษัทร่วมแห่งนี้อีกต่อไป
ขณะที่ยังคงประมาณการกำไรทั้งปีของ CK และราคาเป้าหมายเดิมที่ 18.50 บาท โดยใช้ discounted PE ปี 2568F ของค่าเฉลี่ย 1S.D. ที่ 19x ทั้งนี้ เราคงคำแนะนำซื้อเนื่องจากราคาปิดล่าสุดยังเหลือ upside อีกมากราว 26.71% จากราคาเป้าหมายของเรา
บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ประเมินกำไรสุทธิ CK ไตรมาส 1/68 ที่ 165 ล้านบาท โต +37% YoY และพลิกฟื้นจากขาดทุนสุทธิไตรมาส 4/67 ที่ -171 ล้านบาท สูงกว่าเราประเมินเบื้องต้นที่ราว 100 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญจาก 1) รายได้ก่อสร้างขยายตัวสูง +27% YoY, +28% QoQ หลักๆ หนุนโดยรายได้งาน M&E รถไฟฟ้าสายสีส้ม รวมถึงงานก่อสร้างอื่นๆ progress ดีต่อเนื่อง 2) SG&A/Sale ลดลงอยู่ที่เพียง 4.5% ตามฐานรายได้ก่อสร้างสูงขึ้นและค่าใช้จ่ายโบนัสพนักงาน ปรับตัวลงตามฤดูกาล, 3) ส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น +53% YoY โดยหลักจาก CKP หนุนโดยสถานการณ์น้ำที่ดีขึ้น และ 4) ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยอ่อนตัว -18% QoQ เป็นผลจากเงินกู้ยืมประเภทระยะสั้นลดลง
คงกำไรปกติปี 68 ที่ 1.6 พันล้านบาท (+12% YoY) สำหรับไตรมาส 2/68 เบื้องต้นประเมินผลการดำเนินงานจะโตต่อเนื่อง YoY, QoQ ตามงานก่อสร้างโดยรวม progress มากขึ้น ส่วนแบ่งกำไร CKP ปรับตัวดีขึ้นตามสภาพอากาศและปัจจัยฤดูกาล และอานิสงส์เงินปันผล TTW
ส่วนราคาหุ้นทรงตัว แต่ underperform SET -6% ใน 1 เดือน แม้บริษัทยังอยู่ระหว่างประเมินผลกระทบเกณฑ์ Global minimum tax แต่เบื้องต้นมองว่าค่าใช้จ่ายภาษีส่วนเพิ่มจะไม่มากและมีโอกาสน้อยกว่าคาดการณ์ ขณะที่เรามองว่าราคาหุ้นปัจจุบันน่าสนใจ เทรดที่ 2025E PER 15x (-1.75SD below 5-yr average PER) นอกจากนี้ backlog ปัจจุบันทรงตัวสูง 2 แสนล้านบาท และยังมีโอกาสได้งานใหม่จากโครงการ Double Deck ของ BEM มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท คาดได้ข้อสรุปปีนี้