
นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แม็คกรุ๊ป [MC] เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจงวดไตรมาสสุดท้ายของปียังมั่นใจว่าจะเป็นตามเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก แม้เศรษฐกิจจะเผชิญกับปัญหาภาษีสหรัฐกด GDP ของประเทศให้โตได้น้อยลง แต่บริษัทมีแผนตั้งรับไว้แล้ว เช่น การจัดแคมเปญลดกลางปีที่เตรียมตัวเลือกสินค้าที่หลากหลายให้กับลูกค้า รวมถึงการเน้นเพิ่มกลุ่มลูกค้าผู้หญิงด้วยสินค้าใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันก็ยังคงตัวเลือกสินค้าที่หลากหลายสำหรับลูกค้าผู้ชาย รวมถึงการโปรโมทสินค้าผ่านทางแพลตฟอร์มต่างๆที่หลากหลายเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้มากที่สุด เพื่อช่วยสนับสนุนผลดำเนินงานในงวดสุดท้ายของปี
ขณะที่ผลดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ของปีบัญชี 68 (1 ม.ค.-31 มี.ค.68) บริษัทมีกำไรสุทธิ 188 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23 ล้านบาท หรือ 14.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 165 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิ 17.3% ดีขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 16.4% เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายสินค้ารวม 1,067 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 995 ล้านบาท เป็นผลจากการขายในช่องทางออนไลน์แบบก้าวกระโดด อีกทั้ง MC ได้ ร่วมกับ TikTok Shop จัดทำโปรเจกต์พิเศษ Mc JEANS X TikTok Shop Live Base เปิดตัว LIVE Based studio ที่ Mc Outlet เมืองทองธานี เพื่อสนับสนุนแบรนด์และ Creator ในการทำ Live Commerce ผ่านทาง TikTok โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มยอดขายและขยายโอกาสให้ธุรกิจเติบโตผ่านการไลฟ์สด
นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า รายได้จากการขายสินค้าและกำไรที่เติบโตเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 ไตรมาส ส่งผลให้งวด 9 เดือนรอบปีบัญชี 68 (1 ก.ค.67 -31 มี.ค.68) แม็คกรุ๊ป มีกำไรสุทธิ 626 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49 ล้านบาท หรือ 8.5% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 577 ล้านบาท มีอัตราไรสุทธิ 19% เพิ่มขึ้นจาก 17.9% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นยังทรงตัวระดับสูงที่ 64.3% มาจากยอดขายของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น โดยงวด 9 เดือนนี้บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้า 3,245 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67 ล้านบาท หรือ 2.10% รวมถึงการบริหารต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
"บริษัทเติบโตได้แข็งแกร่ง เป็นผลมาจากรายได้จากช่องทางออนไลน์ และการปรับตัวดีขึ้นของช่องทางออฟไลน์ในไตรมาสที่สองและสามอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงจากความกังวลต่อนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้า รวมไปถึงความกังวลต่อสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน การสู้รบระหว่างอิสราเอลและขบวนการฮามาส ตลอดจนความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า
อย่างไรก็ดีการที่รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ มาตรการช่วยเหลือชาวไร่ ชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท มาตรการ Easy E-Receipt ในช่วงเดือน มกราคม ถึงกุมภาพันธ์ 2568 รวมถึงมาตรการแจกเงิน 10,000 บาทให้แก่ผู้สูงอายุ การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวภายหลังการเปิดประเทศ ตลอดจนการเปิดฟรีวีซ่า และการขยายเวลาการพำนักของนักท่องเที่ยว จะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีขึ้นและบริษัทเองก็จะได้รับอานิสงส์เชิงบวกด้วย" นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าว
ในงวดไตรมาส 3 บริษัทมีรายได้จากช่องทางร้านค้าออนไลน์ (E-Commerce) เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด หนุนให้สัดส่วนรายได้จาก E-Commerce ขึ้นไปแตะที่ 18% จาก 9% เทียบงวดเดียวกันปีก่อน หรือมีรายได้จากการขาย 194 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104 ล้านบาทหรือ 114.6% จาก 90 ล้านบาทเมื่องวดปีก่อน ส่วนงวด 9 เดือนมีรายได้ 531 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 66.3% หรือ 212 ล้านบาท จาก 319 ล้านบาท
ขณะที่สัดส่วนรายได้ช่องทางร้านค้าปลีกของตนเอง (Free-standing Shop) คิดเป็นสัดส่วน 63 % ลดลงจาก 70% หรือมีรายได้ 670 ล้านบาท ลดลง 23 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนมีรายได้ 2,096 ล้านบาท ลดลง 71 ล้านบาท , ห้างสรรพสินค้า (Department Store) คิดเป็นสัดส่วน 17 % ลดลงจาก 19% หรือมีรายได้ 181 ล้านบาท ลดลง 5 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนมีรายได้ 561ล้านบาท ลดลง 47 ล้านบาท ขณะที่ช่องทางอื่น ๆ มีรายได้คิดเป็นสัดส่วน 2% เท่าเดิม