นายสัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) [MGC] เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินในช่วงครึ่งปีแรกของปี 68 บริษัทยังคงวางกลยุทธ์สู่การต่อยอดการเติบโตใน 4 ธุรกิจสู่การสร้าง New S-curve อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างอัตราผลตอบแทนอย่างมั่นคงและยั่งยืน
โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า XPENG เตรียมทยอยส่งมอบให้ลูกค้าในช่วงไตรมาส 2/68 อีกกว่า 1,500 คัน ขณะที่ ZEEKR ก็มีแนวโน้มส่งมอบรถอย่างต่อเนื่องเช่นกันตามเทรนด์รถ EV ที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ส่งผลให้ ณ วันที่ 13 พ.ค.68 บริษัทมีสินค้ารอส่งมอบ (Backlog) 2,159 คัน แบ่งเป็น XPENG จำนวน 1,265 คัน, ZEEKR จำนวน 248 คัน, Rolls-Royce จำนวน 8 คัน, BMW จำนวน 179 คัน, MINI จำนวน 62 คัน, HONDA จำนวน 228 คัน, Harley-Davidson จำนวน 67 คัน และ BMW Motorrad จำนวน 102 คัน
ขณะที่ธุรกิจบริการด้านการเงิน Alpha X ที่จะมุ่งเน้นการเติบโตการให้สินเชื่อ Wealth Lending ในอัตราที่เพิ่มขึ้น คาดว่าแนวโน้มจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยสนับสนุนกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2% เหลือ 1.75% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบวกต่อธุรกิจที่สามารถเปิดโอกาสให้การลงทุนและสินเชื่อเอกชนกลับมาฟื้นตัว ส่งผลให้ Alpha X ได้รับปัจจัยบวกจากกรณีดังกล่าวที่จะสามารถขยายพอร์ตสินเชื่อ Wealth Lending เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า Ultra-high Net Worth ได้เพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกัน บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด วางกลยุทธ์การเติบโตด้วยการขับเคลื่อนธุรกิจบริการด้านประกันภัยอย่างต่อเนื่อง โดยนอกจากให้บริการประกันภัยรถยนต์เป็นหลักแล้ว บริษัทได้ขยายบริการครอบคลุมภาคพลังงานและพลังงานทางเลือก (Renewable Energy) ด้วย โดยช่วงปีที่ผ่านมาบริษัทได้มุ่งเน้นบริการประกันภัยตอบโจทย์ต่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) รวมถึงให้คำปรึกษาด้านการบริหารความเสี่ยงสำหรับองค์กรที่กำลังดำเนินธุรกิจตามแนวทางความยั่งยืน รวมทั้งยังได้ให้บริการด้านประกันคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Insurance) เพื่อสนับสนุนกลุ่มลูกค้าที่มุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อต่อยอดธุรกิจให้อยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมและรักษาสิ่งแวดล้อมให้อยู่อย่างยั่งยืน
อีกทั้งในหนึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มประกันภัยไซเบอร์ (Cyber Insurance) ซึ่งสอดรับกับสถานการณ์ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีและภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯ ได้พัฒนาแผนความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรทุกขนาด เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้กับลูกค้าและสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว
นายสัณหวุฒิ กล่าวว่า ไตรมาส 1/68 กลุ่มบริษัทจดทะเบียนอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว เป็นผลจากแรงกดดันจากวิกฤตสงครามการค้า ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกผันผวนและเริ่มเปราะบางมากขึ้น แต่ MGC-ASIA เดินหน้าฝ่าวิกฤติด้วยการมุ่งปรับกลยุทธ์และโครงสร้างการดำเนินงานเน้นสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบนิเวศธุรกิจ ด้วยการสนับสนุนกลุ่มธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน เพื่อสร้างโอกาสและเสริมพลังร่วมกันระหว่างธุรกิจ พร้อมขับเคลื่อนกลยุทธ์ที่ทันสมัย มุ่งสู่การสร้าง New S-curve และกระจายรายได้ในอนาคต
จากกลยุทธ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงผลประกอบการไตรมาส 1/68 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง กลุ่มบริษัทพลิกมีกำไรสุทธิ 54.9 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 9.5 ล้านบาท โดยหลักมาจากส่วนแบ่งกำไรจาก (1) บริษัทร่วมทางอ้อม Neo Mobility Asia ที่เริ่มส่งมอบรถยนต์ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/67 มาจนถึงงวดปัจจุบัน และ (2) บริษัทร่วมทางตรง Howden Maxi ที่เพิ่มขึ้นจากการเติบโตของรายได้ในหลายทีมประกันภัยที่มีลูกค้ารายใหญ่รายใหม่เข้ามาใช้บริการ
ในส่วนของธุรกิจจำหน่ายยานยนต์มีรายได้ 2,650.30 ล้านบาท เนื่องจากมีการส่งมอบรถยนต์ที่รับจองในงาน The 46th Bangkok International Motor Show ระหว่างวันที่ 26 มี.ค.-6 เม.ย.68 โดยเฉพาะ XPENG ยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมียม-เทค และ ZEEKR ยานยนต์ไฟฟ้าพรีเมียม-ลักชัวรี่ กระแสตอบรับดีมาก ทำยอดจองต่อเนื่อง โดย XPENG มียอดจอง 1,399 คัน ทำให้เกิดการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนจากบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด ที่ให้บริการทั้งจัดจำหน่าย และธุรกิจเกี่ยวเนื่องในกลุ่มธุรกิจ EV ทั้งหมด
นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจให้บริการหลังการขายและให้บริการซ่อมบำรุงรถยนต์อิสระ มีรายได้อยู่ที่ 952.20 ล้านบาท จากการมียอดใช้บริการเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งศูนย์บริการซ่อมบำรุงรถยนต์แบบครบวงจร (One-Stop Service) และการให้บริการซ่อมสีและตัวถังยานยนต์ไฟฟ้า Tesla Approved Body Shop (TAB) ตอกย้ำถึงศักยภาพการให้บริการด้านการจัดการ งานบริการซ่อมได้ครอบคลุมทุกมิติ ตามมาตรฐานสากล ทำให้ธุรกิจในกลุ่มนี้สามารถสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ให้กับบริษัทฯ ได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันในกลุ่มธุรกิจให้บริการรถเช่า และพนักงานขับ มีรายได้อยู่ที่ 426.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.20% (YoY) จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามจำนวนรถยนต์ในฟลีต โดยบริษัท มาสเตอร์ คาร์ เร้นเทิล จำกัด (MCR) หนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการรถเช่าระยะยาว ขณะที่ ซิกท์ รถเช่า ประเทศไทย (SIXT) ผู้ให้บริการรถเช่าระยะสั้น สำหรับบุคคลทั่วไป มีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าการท่องเที่ยวโดยรวมจะชะลอตัว แต่ SIXT มีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากฐานลูกค้า SIXT เป็นลูกค้ากลุ่มพรีเมียม-ลักชัวรี และกลุ่มลูกค้า Self drive จึงไม่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเร่งเดินหน้าขยายสาขาทั่วประเทศ จากปัจจุบันขยายจำนวนรถเพิ่มขึ้นกว่า 20% และเพิ่มรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า ระดับพรีเมียม-ลักชัวรี ที่ยังคงมีดีมานด์การใช้เพิ่มขึ้น
ส่วนธุรกิจให้บริการด้านการเงิน ภายใต้ บริษัท อัลฟา เอกซ์ จำกัด (Alpha X) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ บมจ.เอสซีบี เอกซ์ [SCB] เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และมีผลการดำเนินงานเป็นไปตามแผนธุรกิจหลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1. การเติบโตด้วยธุรกิจ Wealth Lending ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มมั่งคั่ง (Ultra-High Net Worth), 2. การควบคุมต้นทุนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจ และ 3. การจัดการหนี้ด้อยคุณภาพ ที่แม้ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเร็วและสูงกว่าที่คาดจากลูกหนี้กลุ่มที่บริษัทฯ รับเข้ามาตั้งแต่ช่วงเริ่มธุรกิจที่ด้อยคุณภาพลงจากภาวะเศรษฐกิจและความผันผวนของตลาดทุน แต่ด้วยการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทฯ สามารถมีผลกำไรได้ตามแผนที่วางไว้
นอกจากนี้ ธุรกิจบริการประกันภัย ที่บริหารงานโดย บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด (Howden Maxi) สามารถทำรายได้แตะระดับ 86 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 23 ล้านบาท (YoY) จากทีมงานที่สามารถสร้างรายได้มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทั้งจากลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ ได้แก่ ทีมรถยนต์, ประกันภัยต่อ, ทีมงานอัญมณีเครื่องประดับ, งานศิลปะ, ทีมงานประกันภัยทางการเงิน และทีมงานประกันภัยไซเบอร์ ขณะเดียวกันยังเดินหน้ารักษาการต่อสัญญาของลูกค้าเดิม และขยายสู่กลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น