
นายประพล ฐานะโชติพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ที.แมน ฟาร์มาซูติคอล [TMAN] เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ยาและเครื่องมือแพทย์ในช่วงไตรมาส 2/68 คาดการณ์จะมีอัตราการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากปัจจัยตามฤดูกาล เช่น การระบาดของโรคท้องร่วงที่ต้งแต่ต้นปีถึง 13 มี.ค.มีผู้ป่วยสะสม 129,638 ราย (ข้อมูลกรมควบคุมโรค) รวมทั้งโรคทางเดินหายใจและแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของโรค COVID-19 ในประเทศไทย โดยตั้งแต่วันที่ 1-8 พ.ค.มีผู้ป่วยสะสม 41,197 ราย (ข้อมูลกรมควบคุมโรค)

ปี 68 คาดการณ์อุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ยาและเครื่องมือแพทย์จะเติบโตเฉลี่ย 5.5-7.0% ต่อปี (ข้อมูลจาก Krungsri Research) นับว่าเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างจำกัด อย่างไรก็ตาม ด้วยการรับรู้กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่แข็งแกร่งในประเทศและการรุกขยายตลาดต่างประเทศต่อเนื่อง การเปิดตัวนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีอย่างต่อเนื่องในปีนี้ รายได้ของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะเติบโต 10-12% หรือมีรายได้ 2,500 ล้านบาทได้ตามเป้าหมาย
"TMAN ยึดมั่นกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างรายได้ กำไร และการลงทุนในนวัตกรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่นักลงทุนในระยะยาว คณะผู้บริหาร TMAN มีความเชื่อมั่นว่า ด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์ผลิตภัณฑ์ ความเชี่ยวชาญในตลาด และเครือข่ายพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญที่ผลักดันให้บริษัทเติบโตอย่างมั่นคงในระดับภูมิภาค"
นายประพล กล่าวว่า แผนธุรกิจในปีนี้จะสร้างการเติบโตในทุกมิติอย่างต่อเนื่องผ่านการขับเคลื่อน ดังนี้ 1) เพิ่มการเข้าถึงยาผ่านช่องทางโรงพยาบาล ด้วยการนำยาและผลิตภัณฑ์ของบริษัทเข้าไปจำหน่าย โดยเฉพาะกลุ่มยาสามัญและกลุ่มยาโรคติดต่อไม่เรื้อรัง (NCD) 2) ขยายตลาดต่างประเทศเชิงรุกผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นนำแบรนด์โพรโพลิซ (Propoliz Series) ขยายสู่ตลาดต่างประเทศอย่างครอบคลุมมากขึ้น
3) สร้างการเติบโตของผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยจะนำ "โพรโพลิซ พลัส" (Propoliz Pluz) ซึ่งเป็นยาแผนปัจจุบันขยายสู่ช่องทางโรงพยาบาล และเตรียมเปิดตัวยาแก้ท้องร่วงตัวใหม่เพื่อรองรับความต้องการตามฤดูกาลในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝน 4) เสริมสร้างศักยภาพการผลิตหลังจากลงทุนติดตั้งเครื่องจักรใหม่ในไตรมาส 1/68 รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/68 สามารถทำรายได้รวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (New High) ที่ 594 ล้านบาท เติบโต 3.5% และทำกำไรสุทธิ 122 ล้านบาท แม้ลดลงจาก 139.51 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีก่อน แต่เติบโต 13% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยมาจากช่องทางโรงพยาบาล ซึ่งมีปัจจัยจากความต้องการยาที่ใช้ในการรักษาโรคไม่ติดต่อ (Non-Communicable Diseases: NCDs) ทั้งจากโรงพยาบาลเอกชนและภาครัฐเพิ่มขึ้น รวมทั้งช่องทางคลินิกเสริมความงาม ช่องทางร้านขายยา และช่องทาง Modern Trade ที่เติบโตขึ้นเช่นเดียวกัน