
ภก.สุวิทย์ งามภูพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค [BLC] เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในไตรมาส 2/68 BLC มุ่งสร้าง Brand Awareness อย่างต่อเนื่อง ผ่านการเปิดตัวพรีเซนเตอร์ สำหรับผลิตภัณฑ์สมุนไพรและยาแผนปัจจุบัน ซึ่งดำเนินการแล้วในช่วงไตรมาส 1/68 คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้ ควบคู่กับการรีแพคเกจจิ้ง Prozeus 15 ผลิตภัณฑ์โพรไบโอติก และการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง Fiber Bomb ภายใต้แบรนด์ BKD VIVA ที่มุ่งเน้นการขายผ่านช่องทางออนไลน์ทั้ง Shopee และ TikTok เป็นหลัก
นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้ากลยุทธ์ทางการตลาดแบบ 360 องศา โดยบริษัทย่อย BKD VIVA วางแผนเปิดบูธจำหน่ายสินค้าในโรงพยาบาลให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน พร้อมทำการตลาดสำหรับสินค้าอัตรากำไรสูงและสินค้ายอดนิยมทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ยาสามัญใหม่อีก 2 รายการเพื่อบุกตลาดโรงพยาบาล ทั้งนี้ ความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ Clena ex ถือเป็นไฮไลต์สำคัญของไตรมาส 1/68 ด้วยการเติบโตกว่า 13,000% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และรายได้ในไตรมาสแรกของปี 2568 ที่ 28.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 305% เมื่อเทียบกับรายได้ทั้งปี 2567 ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์การใช้ Mega influencer สร้างกระแสในช่องทางออนไลน์ สะท้อนถึงการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของกลุ่มบริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญกับการตลาดดิจิทัลมากขึ้น
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BLC กล่าวเพิ่มเติมว่า คาดการณ์แนวโน้มอุตสาหกรรมยาในประเทศไทยช่วงไตรมาส 2/68 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องที่ 6-7% โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการ ทั้งการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยจากการขยายตัวของชุมชนเมืองและสังคมผู้สูงอายุ การขยายสิทธิการรักษาผ่านโครงการ "บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่" ตลอดจนกระแสการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน สอดคล้องกับข้อมูลการใช้ยาที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มโรคตามฤดูกาล โดยเฉพาะยารักษาไข้หวัดใหญ่ที่เพิ่มขึ้นถึง 59.7% และยารักษาโรคจมูกอักเสบเรื้อรังที่เพิ่มขึ้น 14.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่รูปแบบการบริโภคยาในประเทศมีการเติบโตชัดเจนในกลุ่มยาเม็ดและยาผงที่เพิ่มขึ้น 11.8% และ 14.9% ตามลำดับ นอกจากนี้ การเข้าถึงยาที่สะดวกขึ้นผ่านโครงการรับยาที่ร้านขายยาใกล้บ้านและการส่งยาทางไปรษณีย์ การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยในระบบสาธารณสุขเป็น 7.9 ล้านคน รวมถึงการกลับมาของนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความต้องการยาที่สูงขึ้นในกลุ่มโรคเรื้อรังอย่างความดันโลหิตสูงและเบาหวาน ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งเสริมให้อุตสาหกรรมยาในประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง
"BLC มุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกที่เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเรากำลังเดินมาถูกทาง โดยเฉพาะความสำเร็จของ Clena ex ที่เติบโตถึง 305% จากกลยุทธ์การตลาดที่แม่นยำ เรามุ่งมั่นสร้าง Brand Awareness ให้กับผลิตภัณฑ์สมุนไพรและยาแผนปัจจุบันด้วยแนวทางเดียวกัน เพื่อผลักดันบริษัทสู่เป้าหมายรายได้ 2,000 ล้านบาทภายในปี 2569 ตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพชั้นนำของไทย" ภก.สุวิทย์ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/68 ทำผลการดำเนินงานสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากการขายและให้บริการ 440.4 ล้านบาท เติบโต 4.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) และเติบโต 20.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) กำไรสุทธิ 55.9 ล้านบาท เติบโต 2% (QoQ) และ 35.7% (YoY) ปัจจัยส่งเสริมการเติบโตมาจากกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกแบบ 360 องศาทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ควบคู่การสร้าง Brand Awareness ด้วยการทำโฆษณาผ่านพรีเซนเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ รวมทั้งการจัดโปรโมชันส่งเสริมการขาย การออกบูธแสดงสินค้าในงานวิชาการต่างๆ ประกอบกับต้นทุนทางการเงินลดลงจากการจ่ายชำระเงินกู้ยืมระหว่างปี ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ รายได้แบ่งตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างโดดเด่น โดยกลุ่ม Generic Drugs and New Generic Drugs ซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัทฯ ทำรายได้ 317.8 ล้านบาท เติบโต 15.7% คิดเป็นสัดส่วน 72.2% ของรายได้รวมจากการขายและบริการ ขณะที่กลุ่ม Cosmetics เติบโตโดดเด่นที่สุด 55.7% มีรายได้ 66.0 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 15.0% ของรายได้รวมจากการขายและบริการ ส่วนกลุ่ม Herbal Medicines และ Dietary Supplements มีการเติบโตที่แข็งแกร่งเช่นกันที่ 18.0% และ 24.1% ตามลำดับ สร้างรายได้ 33.5 ล้านบาท และ 13.9 ล้านบาท ตามลำดับ แม้ว่ากลุ่ม Animal Product จะมีรายได้ลดลงเหลือเพียง 1.9 ล้านบาท แต่มีสัดส่วนเพียง 0.4% ของรายได้รวม
อย่างไรก็ตาม บริษัทอยู่ระหว่างการขยายไปสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง เพื่อรองรับการเติบโตตามเทรนด์ Pet Humanization โดยมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และเดินหน้าขยายตลาดควบคู่กับช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รายได้อื่นๆ เพิ่มขึ้น 49% เป็น 7.3 ล้านบาท สะท้อนถึงความสำเร็จในการดำเนินกลยุทธ์การเติบโตโดยรวมของบริษัทฯ