นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ [LEO] กล่าวว่า ทิศทางในการดำเนินธุรกิจในปี 68 ถึงแม้สภาวะเศรษฐกิจของโลกจะมีความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า แต่บริษัทก็ยังมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างการเติบโตของกำไรขั้นต้นและผลประกอบการให้เติบโตได้ภายในไตรมาส 2 และ 3/68 จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics หลายๆ โครงการของบริษัทที่ได้มีการวางแผนและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เช่น โครงการ Self-Storage และ Wine Storage ที่สาขา ถ.พระราม 4 โครงการ LEO Coldbotic ศูนย์จัดเก็บและกระจายสินค้าอัจฉริยะสำหรับไวน์โดยเฉพาะที่อยู่ในบริเวณคล้งสินค้าทัณฑ์บนของท่าเรือสหไทย รวมทั้งการส่งออกสินค้าทุเรียนไปยังประเทศจีนของบริษัท LEO Sourcing & Supply Chain และการขยายธุรกิจในการให้บริการเช่า Power Bank ของบริษัท LEO JITU INFORMATION TECHNOLOGY CO., LTD. ที่ได้มีการจัดตั้งขึ้นใหม่ในปี 68 และตั้งเป้าว่าจะมีรายได้ภายในปี 69 มากกว่า 100 ล้านบาท
"บริษัทฯ มีความมั่นใจว่าการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ๆทั้งหลายเหล่านี้จะช่วยสร้างรายได้ของบริษัทฯให้เติบโตมากขึ้นและลดความผันผวนจากธุรกิจ Freight ได้ โดยบริษัทฯ วางเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ให้ได้อย่างน้อย 30-35% ของรายได้รวมภายในปี 68 นี้"
นายเกตติวิทย์ กล่าวว่า ในส่วนของธุรกิจ Freight ที่เป็นธุรกิจหลักของบริษัทนั้น นับตั้งแต่ไตรมาส 2/68 เป็นต้นไป บริษัทก็จะมีรายได้จากธุรกิจการขนส่งสินค้าทางรางระหว่างประเทศไทย ลาว จีน (ทั้งขาไปและขากลับ) ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัท LaneXang Express เนื่องจากทางบริษัท LaneXang Express ได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้าทั้งภายในประเทศไทยและประเทศจีนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก รวมถึงการขนส่งสินค้าทางรางภายในประเทศของบริษัท Sritrang-LEO Multimodal Logistics ก็จะมีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
"ภาพรวมการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมาเริ่มเห็นผลชัดเจน โดยธุรกิจใหม่เหล่านี้เริ่มสร้างรายได้และสามารถวัดผลได้จริง ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างรายได้ของบริษัทในระยะยาว เนื่องจากความไม่แน่นอนของธุรกิจหลักด้าน Freight ที่มีความผันผวนตามทิศทางของเศรษฐกิจโลกและอัตราค่าระวางเรือ บริษัทฯ จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการกระจายความเสี่ยง และเดินหน้าขยายธุรกิจในกลุ่ม Non-Freight / Non - Logistics อย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากธุรกิจหลักเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้าง รายได้และกำไรขั้นต้น ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บริษัทฯ มั่นใจว่าในระยะข้างหน้า สัดส่วนรายได้และกำไรจากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics จะมีบทบาทมากขึ้นในพอร์ตโดยรวม และเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักที่สนับสนุนการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนของ LEO" นายเกตติวิทย์ กล่าว
ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 1/68 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 346 ล้านบาท กำไรสุทธิในส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ อยู่ที่ 8.7 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 105.2 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 10.42 ล้านบาท
นายเกตติวิทย์ กล่าววว่า รายได้ยังคงมาจาก 4 กลุ่มธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย 1.การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางเรือ (Sea Freight) 2.การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางอากาศ (Air Freight) 3.การบริการด้านบริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร (Integrated Logistics Services) ซึ่งประกอบด้วย การขนส่ง การบริการดำเนินพิธีการศุลกากร และบริการเสริมอื่นๆและ 4. ธุรกิจให้เช่าพื้นที่เก็บของขนาดเล็กและธุรกิจรับฝากตู้สินค้า (Self-Storage and Container Depot Service) ซึ่งประกอบด้วย บริการให้เช่าพื้นที่เพื่อจัดเก็บสิ่งของตามความต้องการของลูกค้า การบริการพื้นที่รับฝากและซ่อมตู้คอนเทนเนอร์ และมีรายได้จากการขนส่งสินค้าทางรางเพิ่มขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ