BBLAM คาด SET ปีนี้ 1,300 จุด ศก.ไทยโตต่ำ-ภาษี"ทรัมป์" ซ้ำเติม

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 14, 2025 18:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

BBLAM คาด SET ปีนี้ 1,300 จุด ศก.ไทยโตต่ำ-ภาษี

นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ กรรมการผู้จัดการ Head of Fund Management บลจ.บัวหลวง (BBLAM) เปิดเผยว่า ในปี 67 ภาพรวมตลาดหุ้นมีความเสี่ยง ทำให้กองทุนตราสารหนี้เป็นตัวเลือกของผู้ลงทุน ส่งผลให้มูลค่าของกองทุนตราสารหนี้เติบโตได้ดีทั้งในภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวม และของบลจ.บัวหลวงด้วย โดยเฉพาะบลจ.ที่อยู่ในเครือของแบงก์ อาทิ บลจ.กสิกรไทย บลจ.ไทยพาณิชย์ บลจ.บัวหลวง บลจ.กรุงศรี เป็นต้น

และในปีนี้ภาพธุรกิจกองทุนรวมจะไม่แตกต่างจากปีก่อน เพราะตลาดหุ้นภาพรวมยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยกองทุนหุ้นไทยน่าจะลดลงต่อเนื่องจากปี 67 ขณะที่กองทุนตราสารหนี้กลับเติบโตมากขึ้น ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลัง บลจ.บัวหลวง เตียมออกกองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุยาวขึ้น

"ภาพของปีที่แล้วและปีนี้ ที่เศรษฐกิจไม่ค่อยแน่นอน หุ้นไทยดูแล้วไม่ค่อยดี เงินของอุตสาหกรรม (กองทุน)ไปรวมอยู่ที่กองตราสารหนี้"

ในปี 67 มูลค่าลงทุนในกองทุนรวมทั้งหมด 5.9 ล้านล้านบาท และ 4 เดือนแรกปี 68 อยู่ที่ 5.93 ล้านล้านบาท โดยเป็นกองทุนตราสารหนี้ 3.02 ล้านล้านบาท โตจากสิ้นปี 67 ที่มี 2.88 ล้านล้านบาท ขณะที่กองทุนหุ้น 4 เดือนแรก อยู่ที่ 1.62 ล้านล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 67 ที่ 1.78 ล้านล้านบาท


*คาดลูกค้าโอน LTF เข้า TESGX 40%

สำหรับกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) ที่เปิดขายไปเมื่อ 2-8 พ.ค. 68 ที่เป็นเม็ดเงินลงทุนใหม่นั้น บลจ.บัวหลวง มียอดขาย 232 ล้านบาท รองจาก บลจ.กสิกรไทยที่ 248 ล้านบาท โดยภาพรวมมียอดรวม 840 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่าจะมีเม็ดเงินใหม่เข้า Thai ESGX ราว 1.5-2.0 หมื่นล้านบาท ส่วนกองทุน LTF เดิมเฉพาะส่วนของบลจ.บัวหลวงที่มีอยู่ 3.7 หมื่นล้านบาท (ณ สิ้นปี 67) คาดว่าจะมีการโอนเข้ากองทุน Thai ESGX ราว 40% ขณะที่ บลจ.กสิกรไทย คาดว่าจะมีการโอนจากองทุน LTF ไป กองทุน Thai ESGX ราว 30%

ส่วนกองทุน Thai ESG ในปี 67 มีเม็ดเงินลงทุน 2.6 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่ 55% อยู่ในกองทุนประเภทตราสารหนี้


*คาดปี 68 หุ้นไทยที่ 1,250-1,300 จุด

นายเมธา พีราวุฒิ ผู้อำนวยการอาวุโส Fund Management Group บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตไม่ถึง 1% ส่งผลให้กำไรบจ.ไม่โตมากนัก โดยจากการคาดการณ์ธนาคารโลกในปี 68 เศรษฐกิจไทยโตต่ำสุดในอาเซียน และยังจะได้รับผลกระทบจากการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐ เรามองภาพเศรษฐกิจยังไม่ดี สอดรับกับการลงทุนที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น

กรณี Best Case สหรัฐเก็บไทยในอัตรา 10-15% คาดจีดีพีไทยโตต่ำกว่า 2% กำไรต่อหุ้น (EPS) จะอยู่ประมาณ 88-90 บาท ประเมินว่าดัชนี SET จะอยู่ที่ 1,250 -1,300 จุดในสิ้นปี 68

กรณี Worst Case ที่ไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 36% ตามที่สหรัฐประกาศไว้แต่ต้น จะกดให้จีดีพีเหลือโต 1.2% ดัชนี SET อยู่แถวๆ 900 ปลายๆ-1,000 จุด

นายเมธา ยังกล่าว่า ในมุมของผู้จัดการกองทุน โลกที่เปลี่ยนไป ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น เราต้องจัดพอร์ตที่เลือกหุ้นบริษัทที่มีกระแสเงินสด (Cashflow) ที่ดี จ่ายปันผลได้มาก เลือกบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง และ หุ้นที่ถูกกดดันด้วยเทรดวอร์มากจนเกินไป

ทั้งนี้ การจัดพอร์ตขณะนี้เน้นถือเงินสด 9-10% ปรับลดหุ้นส่งออกและกลุ่มที่อ่อนไหวและเพิ่มลงทุนหุ้น Defensive มากขึ้น ซึ่งอาจจะไม่ใช่ลงทุนกลุ่มค้าปลีก โรงพยาบาล utility แต่ให้มาโฟกัสบริษัทที่มี Free Cashflow สูงๆ

ทั้งนี้ มองว่า ไตรมาส 2/68 ยังมีการส่งออกดีจากที่เร่งนำเข้าในช่วงชะลอเก็บภาษี 90 วัน ส่วนในไตรมาส 3-4 เห็นว่าไม่น่าแย่มาก โดยหุ้นใน SET50 เห็น Valuation ถูกมาก หรืหุ้นใหญ่ เทรดใน Valuation ที่สมเหตุสมผลมากขึ้น ซึ่ง ณ วันนี้ SET50 ยังมีความสามารถทำกำไร

นายดนัย อรุณกิตติชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า สำหรับกองทุนที่ลงทุนต่างประเทศ (FIF) ยังต้องใช้ความระมัดระวัง แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน โดยเน้นลงทุน Core Port ที่ลงทุนในหุ้นโลก โดยให้ลดน้ำหนักหุ้นสหรัฐลง หุ้นเทคสหรัฐยังลงทุนได้แต่สัดส่วนลดลงมาบ้างให้เพิ่มน้ำหนักหุ้นเทคจีน โดยให้สัดส่วนประมาณ 60-70% ส่วน satellite port แนะลงทุนหุ้นอินเดีย จีน เวียดนาม ส่วนทองถือไว้ 5-10% และถือเงินสด 15-20%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ