
นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.นีโอ คอร์ปอเรท [NEO] กล่าวว่า ทิศทางธุรกิจครึ่งหลังของปี 68 บริษัทวางแผนเดินหน้าขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยได้ลงทุนขยายโรงงานและการผลิตแบบแบ่งเป็นเฟส สอดคล้องกับแผนการเติบโตที่วางไว้ เพื่อเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงและลดภาระทางการเงินจากการลงทุนขนาดใหญ่ในคราวเดียว โดยจัดสรรค่าใช้จ่ายในการลงทุน (CAPEX) ในปี 68 ไว้ที่ 2,300-2,500 ล้านบาท ประกอบด้วยการก่อสร้างอาคารและโรงงานสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ซึ่งแล้วเสร็จไปเมื่อวันที่ 20 มี.ค.68 เตรียมเปิดใช้งานเต็มรูปแบบภายในปีนี้ และการก่อสร้างโรงงานสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน เฟสหนึ่ง ซึ่งเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 14 ก.พ.68 คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน พ.ย.69 ตามด้วยเฟสสองที่จะแล้วเสร็จในเดือนเม.ย.71
บริษัทยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านช่องทาง e-commerce ซึ่งมีการเติบโตถึง 33% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้โดยตรงและตอบสนองต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ การเพิ่มจำนวน live streaming และการส่งเสริม Affiliate Marketing เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กลงเพื่อตอบสนองต่อสภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น เช่น Fineline น้ำยาซักผ้า ขนาด 140 มล. และน้ำยาปรับผ้านุ่ม ขนาด 150 มล. ซองเล็กราคาเริ่มต้น 20 บาท ช่วยให้ผู้บริโภคเลือกซื้อได้ง่ายขึ้น
"ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีความท้าทาย เรายังคงเชื่อมั่นในแนวโน้มของตลาดสินค้า FMCG ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนในปี 2568 และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ NEO ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค เรามั่นใจว่าจะสามารถรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยความแข็งแกร่งของแบรนด์ และการมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างครอบคลุมทุกกลุ่มและทุกมิติ เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตในระยะยาว" นายสุทธิเดช กล่าว
นายสุทธิเดช กล่าวว่า ไตรมาส 1/68 บริษัทยังคงสามารถรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันจะไม่ค่อยเอื้ออำนวยก็ตาม โดยยอดขายในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักเติบโตได้ดีจากปีก่อนหน้า ซึ่งประเมินแล้วว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด FMCG เป็นผลมาจากการที่เราดำเนินกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการสร้างความแตกต่างและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างตรงจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผลักดันสินค้าพรีเมียมแมสที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด ประกอบกับกลยุทธ์ Segment Creator ที่เป็นการสร้างสรรค์นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มาสร้างสีสันและเติมเต็มช่องว่างความต้องการในตลาดอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ยอดขายจากต่างประเทศเองก็เริ่มฟื้นตัวจากการปรับปรุงและขยายช่องทางการขายตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมา ทั้งหมดนี้ช่วยให้เราสามารถสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ความท้าทายสำคัญในช่วงต้นปีคือราคาต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นจากภาวะราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้นตามต้องความการของตลาดในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเราได้ดำเนินการซื้อวัตถุดิบล่วงหน้า และบริหารวัตถุดิบอย่างรอบคอบ รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายในทุกส่วน ส่งผลให้ต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ ไม่สูงเท่าที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ อีกทั้งยังสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไว้ในกรอบ 41-43% และอัตรากำไรสุทธิในกรอบ 8-10% ได้อย่างมั่นคง
ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2568 ยอดขายรวมเติบโตในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก ซึ่งเติบโตจากปีก่อนหน้า 6.0% 5.7% และ 2.1% ตามลำดับ การเติบโตของยอดขายส่วนใหญ่มาจากผลิตภัณฑ์น้ำยาซักผ้า และผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มภายใต้แบรนด์ Fineline ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ และครีมบำรุงผิว ภายใต้แบรนด์ BeNice ซึ่งนับเป็นความสำเร็จจากการเปิดตัวไลน์ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวภายใต้แบรนด์ BeNice ตั้งแต่ไตรมาส 2/67 เป็นต้นมา ในขณะที่ D-nee มีการเติบโตในทิศทางที่ดี ส่วนหนึ่งจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ D-nee deluxe ตามกลยุทธ์ Segment Creator เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ
นอกจากนี้ ยอดขายสินค้าพรีเมียมแมสเติบโตถึง 34% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว คิดเป็นสัดส่วน 5% ของยอดขายรวม เป็นผลมาจากการดำเนินกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการสร้างความแตกต่างและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างตรงจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผลักดันสินค้าพรีเมียมสำหรับกลุ่ม Silver Age ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด ในขณะเดียวกัน ยอดขายจากต่างประเทศสามารถฟื้นตัวเติบโต 10.3% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากการขยายแบรนด์สินค้า และเพิ่ม SKU ใหม่ๆ เข้าไปในประเทศส่งออกหลัก รวมทั้งปรับปรุงและขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้มีประสิทธิภาพและครอบคุลมพื้นที่มากขึ้น
อีกหนึ่งก้าวสำคัญของ NEO ในต้นเดือนที่ผ่านมาคือการเปิดตัวแบรนด์ "LovliTails" ซึ่งถือเป็นแบรนด์ใหม่ของบริษัทในรอบ 15 ปี และการขยายพอร์ตโฟลิโอสู่ตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงเป็นครั้งแรก เน้นนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของสัตว์เลี้ยงยุคใหม่ ซึ่งกลยุทธ์การตลาดจะให้ความสำคัญกับการสื่อสารผ่าน Influencer และ KOL ซึ่งเป็นผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ตัวจริงที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างแบรนด์ให้เป็นผู้นำในตลาดพรีเมียม และพรีเมียมแมส ภายใน 3 ปี