นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี บมจ.พริมา มารีน [PRM] เปิดเผยว่า บริษัทสามารถทำกำไรสุทธิได้อย่างน่าประทับใจในช่วงไตรมาส 1/68 พร้อมกับมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2/68 และยังคงให้คำสัญญาที่จะมุ่งเน้นในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องไปพร้อมกับการยึดมั่นในแนวคิดของการทำธุรกิจที่มีความยั่งยืนควบคู่ไปด้วย
การเติบโตของกำไรสุทธิของบริษัท 30.7% ในไตรมาส 1/68 เป็นผลมาจากการดำเนินงานที่เป็นไปตามแผนในทุกธุรกิจ กองเรือใหม่ทั้ง 4 ลำ ในธุรกิจ OSV เข้าทำงานครบตามแผนงาน รวมถึงได้กำไรจากการขายเรือ Floating Storage Unit (FSU) ที่ครบอายุการใช้งานจำนวน 1 ลำ ช่วยหนุนการเติบโตของกำไรสุทธิอีกทาง
ภาพรวมผลประกอบการและการดำเนินงานดังนี้
ธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปและเคมี (Petroleum and Chemical Tankers) เติบโตขึ้นจากไตรมาส 1/67 และไตรมาส 4/67 ทั้งรายได้และกำไรขั้นต้น จากอัตราการใช้เรือเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับการขนส่งน้ำมันอากาศยานที่สูงขึ้นในฤดูกาลท่องเที่ยวของประเทศไทย และจำนวนเรือเข้าอู่แห้งและซ่อมบำรุงตามแผนงานลดลง
ธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันดิบ (Crude Oil Carrier) มีรายได้ลดลงตามแผนการปรับแผนธุรกิจที่นำเรือขนส่งน้ำมันดิบขนาด Aframax มาดัดแปลงให้เป็นเรือ Floating Storage and Offloading Unit (FSO) ภายใต้ธุรกิจ OSV เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาวและใช้สินทรัพย์ของบริษัทฯ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากสัญญาให้บริการเรือ FSO ที่บริษัทได้รับจากลูกค้า มีระยะเวลาของสัญญายาวสูงสุดถึง 10 ปี ในขณะที่เรือลำดังกล่าวมีอายุคงเหลือในรูปแบบเรือขนส่งน้ำมันดิบเพียง 1 ปี
ธุรกิจเรือกักเก็บและผสมน้ำมันกลางทะเล (Floating Storage Unit) แม้ว่ามีรายได้และกำไรขั้นต้นลดลงจากไตรมาส 1/67 และ 4/67 อันเนื่องมาจากการขายเรือ FSU ที่มีอายุมาก ออกไปทั้งหมด 1 ลำ แต่อัตรากำไรขั้นต้นของไตรมาส 1/68 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 55.3% จากอัตราการใช้เรือที่สูงขึ้น รวมถึงได้รับข่าวดีจากการที่เรือ FSU ลำใหม่ที่บริษัทซื้อเข้ามาทดแทนเรือที่ขายออกไป เริ่มให้บริการลูกค้ารายใหม่ในเดือน พฤษภาคม 2568 นี้
ธุรกิจเรือสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (Offshore Support Vessel) เติบโตจากการให้บริการเรือลำใหม่อีก 4 ลำ ในระหว่างไตรมาส 1/68 นี้ ซึ่งถึงแม้ว่าผลการดำเนินงานจะได้รับผลกระทบจากการเข้าอู่แห้งของเรือ AWB 1 ลำ และการแข็งค่าของเงินบาท แต่การขยายงานและเพิ่มเรือให้บริการทั้ง 4 ลำดังกล่าว ช่วยทำให้ธุรกิจ OSV มีรายได้และกำไรขั้นต้นที่สูงกว่า ไตรมาส 1/67 และ 4/67 อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงธุรกิจ OSV มีแนวโน้มโตต่อเนื่องในไตรมาส 2/68 จากการที่เรือ AWB กลับเข้าทำงานตามปกติ และเรือใหม่ทั้ง 4 ลำจะรับรู้รายได้เต็มทั้งไตรมาส
ธุรกิจตัวแทนสายเดินเรือและออกของ (Ship Agent and Shipping) ที่มีรายได้และกำไรขั้นต้นเติบโตขึ้นจากไตรมาส 1/67 อย่างมีนัยสำคัญ จากการขยายธุรกิจโดยการเข้าซื้อ บจก. วี.ซี.ชิปปิ้ง แอนด์ เซอร์วิส (VC) ในเดือน ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ นอกจากรายได้จาก 5 ธุรกิจหลักแล้ว ทางบริษัทฯ ยังมีกำไรพิเศษจากการขายเรือ FSU จำนวน 1 ลำ เป็นจำนวน 163.6 ล้านบาท และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหารลดลง 20.2% จากไตรมาส 4/67