
บมจ.ทรีนีตี้ วัฒนา [TNITY] แต่งตั้งนายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารแทนนายภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ ซึ่งไม่ประสงค์ต่อวาระการเป็นกรรมการ และมีมติแต่งตั้งนายวีรพัฒน์ เพชรคุปต์ ให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มีผลวันที่ 1 มิถุนายน 2568
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า การแต่งตั้งผู้บริหารทั้ง 2 คน พร้อมกับการปรับโครงสร้างเพื่อสร้างให้ทรีนีตี้เป็นองค์กรที่ทันสมัย และบริษัทมีเป้าหมายชัดเจนว่าจะนำ AI เข้ามาใช้ในการให้บริการในด้านต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้า และผู้ถือหุ้น
สำหรับการดำเนินงานช่วงไตรมาสแรกปี 68 นั้น บล.ทรีนีตี้ ได้มีการเพิ่มและพัฒนาบุคลากรโดยการนำ AI เข้ามาช่วยในการเสนอข้อมูลที่รวดเร็วให้กับนักลงทุน และได้ส่งผลชัดเจนต่อดำเนินงานของ TNITY ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากสิ้นปี 67
ไตรมาส 1/68 บริษัทมีกำไรสุทธิ 7.69 ล้านบาท บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 164.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้ 157.77 ล้านบาท เป็นผลมาจากรายได้ค่านายหน้าที่เพิ่มขึ้นเป็น 28.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้นในอัตรา 16.82% จาก 24.32 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อน เพราะปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์โดยรวม และของลูกค้ารายย่อยของบริษัทเพิ่มขึ้น
ขณะที่รายได้จากธุรกิจซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เพิ่มขึ้นเป็น 9.39 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในอัตราร้อยละ 155.16 จาก 3.68 ล้านบาทในงวดเดียวกันปีก่อน เนื่องจากปริมาณการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าโดยรวม และของลูกค้ารายย่อยเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทยังมีกำไร และผลตอบแทนจากเงินลงทุนรวม 25.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 18.90 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้ดอกเบี้ยของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 27.10 ล้านบาท จาก 21.30 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อน เกิดจากรายได้ดอกเบี้ยจากลูกหนี้เงินให้กู้ยืมอื่นที่เพิ่มขึ้นเป็น 26.51 ล้านบาท จาก 20.59 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 28.75 เนื่องจากเงินให้กู้ยืมแก่การร่วมค้าที่เพิ่มขึ้น
บริษัทมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียเพิ่มขึ้นเป็น 4.02 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 302 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1 ล้านบาท ตามผลการดำเนินงานของการร่วมค้าและบริษัทร่วมที่ปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่รายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลงจาก 38.92 ล้านบาทเป็น 28.65 ล้านบาท จากการลดลงของเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ในระหว่างงวด
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของค่าใช้จ่ายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีค่าใช้จ่าย 155.35 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.26 จากงวดเดียวกันปี 2567 ที่มีจำนวน 138.39 ล้านบาท เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้นเป็น 73.08 ล้านบาท จาก 69.03 ล้าน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.87 ตามผลตอบแทนตามรายได้ค่านายหน้าที่เพิ่มขึ้น และมีค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 13.92 ล้านบาทจาก 9.29 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 49.84 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าระหว่างไตรมาส