
นายกวี ชูกิจเกษม หรือ พี่กวี Head of Research and Content บล.พาย มองว่าตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงอาจหลุดระดับ 1,000 จุดได้ หากการเจรจาภาษีระหว่างไทย-สหรัฐไม่บรรลุผล และนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐยังฟาดแรงไปทั้งโลกในระหว่างที่เขายังนั่งอยู่ในเก้าอี้สำคัญนี้ไปอีก 3 ปีตามวาระการดำรงตำแหน่ง อาจสร้างแรงกระแทกตลาดเข้ามาอีกได้
ในขณะที่เศรษฐกิจไทยยังเติบโตในอัตราต่ำมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่เห็นแววการฟื้นตัวมาเติบโตอย่างมีศักยภาพได้เลย โดยในปี 68 นี้ หลายหน่วยงานและหลายองค์กรต่างก็ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยเติบโตไม่ถึง 2% แต่เมื่อมีประเด็นภาษีตอบโต้ของสหรัฐยิ่งไปกดภาพรวมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการส่งออก
"ต่อให้สงครามการค้ามันจบลงทิศทางไหนก็ตาม มันไม่ทำให้เศรษฐกิจโลกสามารถกลับมาเติบโตได้ดีดั่งเดิม และก็กระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่มันแย่อยู่แล้ว...ณ ตรงนี้ เศรษฐกิจกำลังวิ่งเข้าหาจุดต่ำสุด ซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน"นายกวี กล่าว
นายกวี กล่าวว่า ตั้งแต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บภาษีตอบโต้ทุกประเทศเมื่อวันที่ 2 เม.ย.68 ฉุดตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่ง ไม่เว้นแม้แต่ไทย โดย SET ลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,056 จุดเมื่อวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมา
จากนั้นดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกแกว่งตัวผันผวนขึ้น-ลงไปตามอิทธิพลของสถานการณ์การเจรจาการค้า โดยเฉพาะการตอบโต้ทางภาษีระหว่างสหรัฐกับจีนแบบหมัดต่อหมัด จนกระทั่งหุ้นไทยค่อยๆ ไต่ขึ้นมาหลังจากจีนและสหรัฐกลับมาตั้งโต๊ะเจรจาการค้าเมื่อต้นเดือน พ.ค.ผลรอบแรกออกมาดีกว่าคาด จากที่สหรัฐฯจะลดภาษีตอบโต้จีนจาก 145% มาที่ 30% ส่วนจีนก็จะเก็บภาษีจากสหรัฐเพียง 10% จากเดิมขู่ไว้ที่ 125% ทำให้ดัชนี SET กลับขึ้นมายืนเหนือ 1,200 จุด
แต่ตลาดหุ้นไทยรับข่าวเชิงบวกได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่ล่าสุดดัชนี SET อ่อนตัวลงต่ำกว่า 1,200 จุดอีกครั้ง เป็นเพราะเหตุใด?
นายกวี กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปก็ยังเติบโตในระดับต่ำ แม้รัฐบาลพยายามออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่มองว่าทำได้ยากในสถานการณ์แบบนี้ เพราะติดปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง การกระตุ้นผ่านการบริโภคภายในประเทศจึงไม่ค่อยเห็นผลมากนัก ขณะที่เครื่องยนต์หลักอย่างภาคท่องเที่ยวและการส่งออกที่เคยเป็นเสาหลักเศรษฐกิจก็กลับชะลอตัว จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนเม.ย.-พ.ค.ลดลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ส่วนส่งออกก็คาดว่าจะเริ่มได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า
นายกวี วิเคราะห์ต่อถึง Valuation กับ Fundamental ของหุ้นไทยว่า ถึงแม้หุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นมาที่ 1,230-1,250 จุดได้ แต่มีโอกาสน้อยมากที่จะขึ้นไปได้มากกว่านี้ และเมื่อพิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานในระยะกลางและระยะยาว มองแล้วว่าตลาดหุ้นไทยขึ้นยาก
แต่ในวิกฤตก็ยังมีโอกาส เมื่อตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมา เป็นจังหวะเข้าเก็บหุ้นพื้นฐานดี เพื่อเป็นเซฟโซน ไม่ให้เกิดผลขาดทุนมากหากตลาดหุ้นปรับลงไปมากกว่าคาด แต่ยังไม่เสียโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนในจังหวะที่ตลาดหุ้นพลิกฟื้น
นายกวี แนะนำหุ้นใหญ่ที่มีผลประกอบการดี อาทิ แบงก์ขนาดใหญ่ อย่าง KTB KBANK SCB BBL ซึ่งดอกเบี้ยปรับลดน้อยลงและยังมีการจ่ายเงินปันผลดี กลุ่มค้าปลีกที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการจำเป็น CPALL MAKRO MINT ADVANC ทั้งนี้ แนะให้เล่นระยะสั้น
https://youtu.be/0guMOoehX98