นายปวีณ เจียสกุล ผู้จัดการส่วนงานนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมีคอล [PTTGC] เปิดเผยว่า จากสถานการณ์สงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อ PTTG บริษัทได้เตรียมแผนรับมือ โดยในปี 68 ตั้งเป้าเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่าย 4,500 ล้านบาท จากการบริหารควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่าย การปรับพอร์ตภายใต้แนวทาง Holistic Optimizatio หลังจากผ่านมา 1 ไตรมาสพบว่าบริษัทมีศักยภาพที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ จึงได้ปรับเพิ่มเป้าการปรับลดค่าใช้จ่ายเป็น 5,500 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 1/68 สามารถสร้างรายได้เข้าสู่งบการเงิน 800 ล้านบาท และในไตรมาส 2/68 คาดจะสร้างรายได้อีก 1,000 ล้านบาท และครึ่งปีหลังคาดจะทำได้ 2,700 ล้านบาท
นอกจากนี้ด้วยสถานการณ์ที่ยังถูกกดดันจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่ ทำให้บริษัทต้องเตรียมความพร้อมด้านการเงิน ลดภาระหนี้ รวมทั้งแผน Asset Light ซึ่งบริษัทยังมีธุรกิจอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรงกลั่นและปิโตรเคมีโดยตรง ซึ่งบรัทยังมีความสามารถในการหาผู้ซื้อหรือพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่าเข้ามารับกิจการนั้นไป ตั้งเป้า 30,000 ล้านบาท โดยวางแผนอาจนำเงินดังกล่าวใช้ลดหนี้ เป็นการเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินต่อไป ทั้งนี้คาดกระบวนการดังกล่าวจะชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง จนถึงปี 69
สำหรับความคืบหน้าการปรับโครงสร้างของ Vencorex ปัจจุบันโรงงานในฝรั่งเศสได้เสร็จสิ้นกระบวนการปรับโครงสร้างแล้ว เข้าสู่การเลิกกิจการแล้ว หลังจากวันที่ 13 พ.ค. เป็นต้นไปจะยุติการรับรู้ขาดทุน Vencorex France และ Vencorex TDI ขณะที่โรงงาน Vencorex ในไทยและสหรัฐยังอยู่ระหว่างการเจรจาผู้ซื้อคาดแล้วเสร็จในครึ่งหลังของปี 68
ทั้งนี้ จากการยุติการดำเนินงานของ Vencorex จะทำให้บริษัทลดค่าใช้จ่าย ต้นทุน และลดผลขาดทุนจากบริษัทดังกล่าวได้ และช่วยหนุนให้ผลประกอบการตั้งแตไตรมาส 2/68 ดีขึ้น
นายปวีณ ยอมรัยว่า ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้ายังเห็นความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมียัง Oversupply ต่อไป แต่อย่างไรก็ตามบริษัทยังมั่นใจในความได้เปรียบในการแข่งขันจากวัตถุดิบที่มี โดยเฉพาะอีเทน รวมทั้งให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้สามารถผ่านสถานกาณ์ทึ่ค่อนข้างท้าทายไปได้
นอกจากนี้ แผนระยะยาว บริษัทได้เข้าสู่ธุรกิจที่เป็น High Value กลุ่ม Specialty เคมีคอล ที่บริษัทเข้าลงทุนใน Allnex ซึ่งมีความสามารถในการทำกำไรได้ต่อเนื่อง แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ก็กระทบกับปริมาณการขายมากกว่า และนโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงกับ Allnex เนื่องจากมีแหล่งการผลิตกระจายในตลาดภูมิภาคและไม่ได้ขายระหว่างภูมิภาคมากนัก
อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามผลกระทบของนโยบายภาษีสหรัฐว่าจะส่งผลต่อความต้องการปลายทางมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเชื่อว่าธุรกิจของ Allnex มีการนำผลิตภัณฑ์ไปใช้ได้อุตสาหกรรมที่หลากหลาย ยังมั่นใจว่าเมื่อสถานการณ์และเศรษฐกิจฟื้นตัว จะเห็นการฟื้นตัวของปริมาณการขาย Allnex
ขณะที่แผนการขยายธุรกิจในอนาคต มองว่าภูมิภาคเอเชียยังมีความน่าสนใจในการเติบโต ซึ่งได้มีการสร้างขยายโรงงานที่จีนและอินเดีย ที่ยังขาดอยู่คือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งยังอยู่ในแผน