
โบรกเชียร์ "ซื้อ" หุ้น บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ แนวโน้มไตรมาส 2/68 คาดโต QoQ อย่างมีนัยสำคัญจากการรับรู้เงินปันผล TTW และ CKP ราว 337 ล้านบาท แม้ธุรกิจทางด่วนและรถไฟฟ้าได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว แต่คาดว่าจะฟื้นตัวได้ โดยเฉพาะจากปัจจัยบวกหนุนจากการเปิดโครงการขนาดใหญ่ใจกลางเมือง อย่าง One Bangkok และ Dusit Central Park หนุนปริมาณผู้ใช้บริการเพิ่ม
ขณะที่ราคาหุ้น BEM ปรับตัวลงอย่างรวดเร็วสะท้อนถึงความกังวลมากเกินไปว่ากำไรจะเติบโตช้าลง YoY ในปี 68 แต่ยังมองว่ามีโอกสทำสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่อง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
ทิสโก้ ซื้อ 11.00
กสิกรไทย ซื้อ 10.73
เอเซียพลัส ซื้อ 10.60
ดาโอ ซื้อ 10.00
หยวนต้า ซื้อ 9.50
กรุงศรี ซื้อ 9.10
อินโนเวสท์เอ็กซ์ ซื้อ 9.00
โกลเบล็ก ซื้อ 8.50
เคจีไอ ซื้อ 8.15
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++นายประสิทธิ์ รัตนกิจกมล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ทิศทางผลประกอกการไตรมาส 2/68 ของ BEM เปรียบเทียบไตรมาส 1/68 น่าจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากรับรู้เงินปันผลจากการลงทุนใน บมจ.ทีทีดับบลิว [TTW] และ บมจ.ซีเค พาวเวอร์ [CKP] เข้ามา 337 ล้านบาท
แต่ในเชิงการดำเนินงานต้องแยกดู เพราะธุรกิจทางด่วนและรถไฟฟ้าในเดือนเม.ย.68 ยอดผู้ใช้บริการหดตัวลง 2% เมื่อเทียบกับเดือน เม.ย.67 จากผลกระทบเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้ช่วงต้นเดือนเม.ย.ทำให้พฤติกรรมของคนยังไม่กล้าเดินทาง และกิจกรรมต่าง ๆ ยังไม่ได้กลับมามากนัก ขณะเดียวกันภาคการท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวบางกลุ่มยกเลิกการเดินทางเข้ามาพอสมควร
"โดยสรุปไตรมาส 2/68 เทียบไตรมาส 1/68 จะเติบโตจากเงินปันผล แต่ถ้าเทียบ YoY ยังต้องลุ้นเพราะเม.ย.เห็นผู้ใช้บริการลดลง"นายประสิทธิ์ กล่าวอย่างไรก็ตาม คาดหวังว่าเดือน พ.ค.- มิ.ย.68 จากการเปิดเทอมใหม่จะทำให้พฤติกรรมการเดินทางจะกลับมาเป็นปกติ นอกจากนั้นปีนี้ยังได้แรงหนุนจากการเปิดโครงการ One Bangkok ช่วยเพิ่มปริมาณผู้ใช้บริการที่รถไฟฟ้า MRT สถานีลุมพินี และในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการเปิดโครงการ Dusit Central Park สีลมก็จะเพิ่มผู้ใช้บริการสถานีสีลมได้อีก
ประมาณการเดิมของเราคาดว่ากำไรสุทธิของ BEM ปี 68 จะเติบโต 7% จากปีที่แล้วมีกำไร 3,768 ล้านบาท ไปที่ 4,023 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 1/68 กำไรเติบโต 3% หากจะบรรลุเป้าหมายทั้งปีเติบโต 7% ช่วงที่เหลือของปีก็ต้องเร่งเครื่อง ทั้งนี้เรายังไม่ได้มีการปรับประมาณการ ขอรอติดตามการดำเนินงานในไตรมาส 2/68 ก่อน
ปัจจุบัน BEM ยังมีหลายประเด็นที่นักลงทุนกังวล โดยเฉพาะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบริเวณทางยกระดับดาวคะนอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ รวมทั้งการก่อสร้างโครงการหลายจุดยังไม่แล้เสร็จเป็นอุปสรรคต่อการขึ้น-ลงทางด่วน แต่หากอ้างอิง รมว.คมนาคมที่ระบุว่าทุกโครงการก่อสร้างบนถนนพระราม 2 จะแล้วเสร็จภายในปีนี้ ก็จะส่งผลดีกับปริมาณการใช้ทางช่วงขั้นที่ 1 เข้ามาในเมือง
ส่วนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายที่หลายคนกังวลว่าอาจกระทบต่อผลการดำเนินงานของ BEM นั้น หากดูรายได้จากรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินหารเฉลี่ยต่อเที่ยวต่อคนอยู่ที่ประมาณ 30 บาท และการทำนโยบาย 20 บาทตลอดสายคงต้องมีการชดเชยส่วนต่างให้กับเอกชน คาดว่าจะการเจรจาสูตรการชดเชยกันในไม่ช้านี้ ขณะที่การปรับราคาลงมาจะช่วยเพิ่มปริมาณผู้ใช้บริการ แต่ BEM ก็ต้องจัดขบวนเดินรถถี่ขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินรถมากขึ้นด้วย จึงต้องติดตามว่าสุดท้ายจะมีความชัดเจนอย่างไร
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ไม่ชัดเจนและยังต้องติดตามต่อ อาทิ นโยบายลดค่าทางด่วน 50 บาทตลอดสาย ควบคู่กับการปรับส่วนแบ่งรายได้กับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจา รวมทั้งโครงการ Double Deck ที่แลกกับการขยายระยะเวลาสัมปทาน ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม BEM เป็นธุรกิจที่มีกระแสเงินสดสม่ำเสอ และเป็นสัญญาสัมปทานระยะยาว เรามองเห็นว่าการถูก Disrupt ของธุรกิจน่าจะเกิดขึ้นได้ยาก รวมทั้งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวัน ความผันผวนตามเศรษฐกิจน่าจะน้อยกว่าธุรกิจอื่น เป็นธุรกิจที่เรายังเชื่อว่ามีพื้นฐานดี แนะนำ "ซื้อ" ด้วยราคาเป้าหมาย 10.60 บาท
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คาดว่าจำนวนผู้ใช้ทางด่วนและรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินในไตรมาส 2/68 จะได้รับผลกระทบระยะสั้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนมี.ค. อิงยอดผู้ใช้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและทางด่วนเฉลี่ยเดือน เม.ย.68 ลดลง 1.7% YoY และ 2.0% YoY อย่างไรก็ดี เราประเมินเป็นเพียง Sentiment ลบระยะสั้น คาดการเดินทางกลับมาฟื้นตัว MoM และ YoY ในเดือนพ.ค. - มิ.ย.
แม้ธุรกิจหลักอาจชะอลตัวลง QoQ จากเหตุการณ์ไม่คาดฝันและตามปัจจัยฤดูกาล แต่คาดกำไรไตรมาส 2/68 เติบโต QoQ เนื่องจากมีเงินปันผลรับจาก TTW และ CKP รวม 337 ล้านบาท และเติบโต YoY ตามแนวโน้มธุรกิจหลักโดยเฉพาะธุรกิจระบบราง กำไรปกติไตรมาส 1/68 คิดเป็น 21% ของประมาณการ แต่เนื่องจากกำไรไตรมาส 2-3/68 จะเติบโตโดดเด่นทั้ง QoQ และ YoY จากเงินปันผลรับ รวมถึงเข้าช่วง High Season ของธุรกิจระบบรางในไตรมาส 3/68 ทำให้ยังคงประมาณการ
ขณะที่นโยบาย 20 บาทตลอดสายมีความคืบหน้าต่อเนื่อง คาดกระทรวงคมนาคมเสนอนโยบายเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือน พ.ค.68 เพื่อประกาศใช้ภายในเดือนก.ย.68 เราคงมุมมองบวกต่อนโยบายดังกล่าวที่จะช่วยหนุนจำนวนผู้ใช้รถไฟฟ้า ขณะที่ BEM จะได้รับการชดเชยส่วนต่างค่าตั๋วโดยสาร และหากรัฐบาลเลือกใช้แนวทางการซื้อคืนสัมปทาน BEM จะได้รับเงินก้อนจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสีส้ม อีกทั้งจะยังมีรายได้ที่สม่ำเสมอจากการเดินรถและทำการซ่อมบำรุง (O&M)
คงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 68 ที่ 9.50 บาท ยังไม่รวม Upside Risks จากโครงการทางด่วน Double Deck และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ที่คาดเห็นความคืบหน้าในปีนี้เป็น Catalysts ที่จะหนุนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว
ด้าน บล.กรุงศรี มีมุมมองเป็นลบเล็กน้อยต่อแนวโน้มปี 68 โดบบริษัทเปิดเผยว่ารายได้ลดลงในธุรกิจเช่าพื้นที่ในไตรมาส 1/68 ที่ 25% QoQ และทรงตัว YoY เป็นเพราะสัญญาที่มีกับ DTAC ก่อนการควบรวมกับ TRUE หมดอายุลง ทำให้รายได้จากพื้นที่ให้เช่าลดลง 10-15 ล้านบาทต่อไตรมาส
ขณะเดียวกันบริษัทรับว่าการเติบโตของรายได้ 1-2% ในธุรกิจทางด่วน และการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักในธุรกิจรถไฟฟ้าไม่น่าจะเกิดขึ้นในปี 68 เนื่องจากมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นหลายครั้ง เช่น แผ่นดินไหว โครงสร้างทางด่วนถล่ม และการชะลอตัวของเศรษฐกิจ สำหรับค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย บริษัทไม่ได้ให้รายละเอียดมากนักเกี่ยวกับวิธีการที่รัฐบาลจะอุดหนุนโครงการให้กับผู้ประกอบการและจำนวนเงินอุดหนุน
เราคงประมาณการกำไรไว้ที่ 3.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% YoY ประมาณการกำไรของเราค่อนข้าง conservative (เมื่อเทียบกับประมาณการของฝ่ายบริหาร) เนื่องจากเราคาดการณ์ว่ารายได้จากธุรกิจทางด่วนจะไม่เติบโต และคาดการณ์ว่ารายได้จากธุรกิจรถไฟฟ้าจะเติบโต 6% โดยรวมแล้ว เราคาดการณ์ว่ารายได้จะเติบโตเพียง 3% YoY ในปี 68 อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ได้รวมผลประโยชน์จากอัตราค่าโดยสารคงที่ 20 บาท โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในเดือน ก.ย.68
คำแนะนำ "ซื้อ" ของเรามาจากแนวคิดเรื่องการลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่า (value play theme) การปรับตัวลงอย่างรวดเร็วของราคาหุ้น BEM สะท้อนถึงความกังวลมากเกินไปว่ากำไรจะเติบโตช้าลง YoY ในปี 68 เพราะคาดว่าจะยังคงทำสถิติสูงสุด BEM มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นอีกสองรายการเมื่อเทียบกับในอดีต ได้แก่ ส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินและสายสีส้ม ราคาปัจจุบันบ่งชี้ว่าไม่มีมูลค่าจากสายสีส้มและส่วนลดมากสำหรับสายสีน้ำเงิน ซึ่งเราเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผล
https://youtu.be/xhVJaLbNPdM