นางเสาวภาพ สุเมฆศรี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงายการเงินและบัญชี บมจ.บีซีพีจี [BCPG] กล่าวว่าแผนการดำเนินงานในปี 68 บริษัทตั้งเป้ากำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโตมากกว่า 30% จากปี 67 ที่ 4,609.7 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนมาจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ CCGT (Combined Cycle Gas Turbines) ในสหรัฐ 30% จากธุรกิจใหม่ 25% พลังงานแสงอาทิตย์ 30% ไฮโดรเจน 12% ธุรกิจถังเก็บน้ำมัน 11% และพลังงานลม 3%
โดยในปี 68 จะได้แรงหนุนจากส่วนแบ่งกำไรโรงไฟฟ้าในสหรัฐที่สูงขึ้น เนื่องจากปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจ Data Center และ EV สหรัฐที่หนุนดีมานด์เพิ่มขึ้นค่อนข้างแรง ขณะเดียวกันมีโรงไฟฟ้าในสหรัฐครบอายุ ทำให้ซัพพลายไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงต้องมีการปรับค่าความพร้อมจ่ายไฟเพิ่มจาก 40 เหรียญสหรัฐต่อเมกะวัตต์ต่อวัน เป็น 270 เหรียญสหรัฐต่อเมกะวัตต์ต่อวัน ในปี 70 และเชื่อว่าค่าไฟจะอยู่ระดับดังกล่าวไปอีก 2 ปี นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนจากการเข้าสู่ช่วงพีคซีซั่นที่มีการใช้ไฟค่อนข้างมากในช่วงปลายไตรมาส 2 ถึงต้นไตรมาส 3
ขณะที่ความคืบหน้าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไต้หวัน อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ ซึ่งยังเป้าหมายเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ประมาณ 100 เมกะวัตต์ในปีนี้ และระหว่างนี้จนถึงปลายปีน่าจะมีโครงการก่อสร้างได้อีกต่อเนื่อง ทั้งนี้แม้ผลตอบแทนโครงการจะล่าช้ากว่าแผนเล็กน้อย แต่คาดว่าผลตอบแทนยังอยู่ระดับที่ดี โดยได้มีการพูดคุยกับบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่พร้อมรับซื้อไฟโดยตรง ทำให้ได้ค่าไฟที่มากกว่าขายให้การไฟฟ้า 10%
สำหรับโครงการไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนามที่บริษัทได้เข้าไปลงทุนประมาณ 100 เมกะวัตต์ คาดว่าจะ COD และรับรู้รายได้ในไตรมาส 3/68 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาค่าไฟฟ้ากับผู้ซื้อไฟฟ้าโดยตรง ขณะที่ในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในไทย แม้ว่าจะมีความล่าช้าของโครงการ RE Big lot แต่บริษัทเองก็ได้จับจองที่ดินสำหรับการสร้างโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่ไว้แล้ว หากรัฐบาลเดินหน้าก็พร้อมจะสร้างโซลาร์ฟาร์มในพื้นที่เหล่านั้น รวมทั้งเพื่อขายไฟฟ้าในลักษณะของการขายโดยตรง (Direct PPA) ให้กับเอกชนที่ต้องการซื้อ
ขณะเดียวกันบริษัทก็ได้ขยาย Solar Rooftop และ Private PPA ต่อเนื่อง รวมถึงเปิดรับโอกาสเข้าซื้อโครงการพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์อยู่ในตลาดและต้องการขาย บริษัทก็มีนโยบายซื้อเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ