
นายเฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป [EPG] เปิดเผยว่า แนวโน้มของเศรษฐกิจโลกในปีนี้เผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการค้าที่เข้มข้นขึ้นซึ่งนำไปสู่สงครามการค้า ในขณะที่เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน อีกทั้งเผชิญกับความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ บริษัทจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ผันผวนและมีความไม่แน่นอนสูงนี้
ในปีบัญชี 68/69 (เม.ย.68-มี.ค.69) บริษัทมุ่งเน้นการดำเนินงาน โดยใช้จุดแข็งด้านนวัตกรรม และเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก อีกทั้งนำนโยบาย "USE" (U: Utilization การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า S: Save การประหยัดค่าใช้จ่าย และ E: Efficiency การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน) มาใช้อย่างเข้มข้นขึ้น เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน บริษัทให้ความสำคัญกับการบริหารสภาพคล่องอย่างรอบคอบ โดยการถือเงินสดไว้ส่วนหนึ่งเพื่อรองรับการดำเนินงาน และโอกาสในการเติบโตในอนาคต โดยตั้งเป้าหมายรักษาระดับยอดขายที่ 13,800 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นที่ 30-33% มาจากการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจ ดังนี้
ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex ตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโต 5% มาจากสินค้าฉนวนกันความร้อน/เย็น เกรดพรีเมี่ยม ที่มุ่งเน้นทำการตลาดภายในประเทศ/ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น รวมทั้งสินค้าเพื่อใช้ในกลุ่มอุตสาหกรรม Ultra Low Temperature Insulation และระบบ Air Ducting system เน้นทำการตลาดมากขึ้นทั้งในสหรัฐอเมริกา ฉนวนของ Aeroflex ตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกสำหรับโซลูชั่นการประหยัดพลังงานและการควบคุมอุณหภูมิ ทั้งในที่อยู่อาศัยและในภาคอุตสาหกรรม การขยายตัวนี้สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่กำลังเป็นที่จับตา โดยเมื่อเร็วๆ นี้ Aeroflex เปิดตัวนวัตกรรมสินค้า หลังคาเมทัลชีทติดฉนวนกันความร้อน AERO-ROOF ซึ่งพัฒนาร่วมกับพันธมิตรเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าในภาคก่อสร้างที่ให้ความสำคัญกับการประหยัดพลังงานและมาตรฐานอาคารเขียว
อนึ่ง ตามที่สหรัฐอเมริกาเร่งผลักดันนโยบายการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ (reshoring) ควบคู่กับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ เช่น โครงการ Stargate และความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับประเทศในตะวันออกกลาง ส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนไหลกลับเข้าสู่เศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่องนั้น การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างดังกล่าว สร้างโอกาสสำคัญให้กับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและพลังงานประสิทธิภาพสูง จึงเป็นข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ของ Aeroflex USA Ins. บริษัทย่อยในสหรัฐอเมริกาด้วยสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของทั้งภาครัฐและเอกชน พร้อมรับแรงสนับสนุนจากนโยบายและเงินทุนจากภาครัฐ
ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas คาดว่ายอดขายจะปรับตัวลดลง 5% ในภาวะที่อุตสาหกรรมยานยนต์โลกชะลอตัว Aeroklas ยังคงเดินหน้าร่วมมือกับผู้ผลิตยานยนต์ชั้นนำเพื่อพัฒนาชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์น้ำหนักเบา ประหยัดพลังงาน สำหรับยานยนต์สันดาป (ICE) และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) Aeroklas ให้ความสำคัญกับนวัตกรรมด้านวัสดุ ด้านการออกแบบ และด้านกระบวนการผลิตขั้นสูง เพื่อลดต้นทุนและระยะเวลาในการผลิต รองรับการขยายตัวในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ท้าทาย
ส่วนธุรกิจในออสเตรเลีย มีเป้าหมายหลัก ได้แก่ การควบคุมต้นทุน/ การพัฒนาสินค้าใหม่ และการเพิ่มประสิทธิภาพช่องทางจัดจำหน่าย เป็นต้น เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของธุรกิจในออสเตรเลีย
ธุรกิจในแอฟริกาใต้ Aeroklas มุ่งเน้นการสร้างระบบซัพพลายเชน โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างศักยภาพการผลิตและจัดหาในประเทศ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญที่ Aeroklas กำลังดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการดำเนินงานที่มีอยู่และฟื้นฟูเสถียรภาพให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP ตั้งเป้าหมายยอดขายใกล้เคียงกับปีบัญชีที่ผ่านมา โดยเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ด้วยดีไซน์ที่ทันสมัยช่วยลดต้นทุนโดยไม่กระทบต่อคุณภาพ อีกทั้ง EPP ใช้เครื่องจักรอัตโนมัติความเร็วสูงในกระบวนการผลิตเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพการผลิตสูงสุด พร้อมยกระดับคุณภาพของบรรจุภัณฑ์ และเดินหน้าพัฒนาทางเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากกระดาษ เพื่อรองรับข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและกฎระเบียบที่เข้มงวดในตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม EPP มีจุดเด่นจากมาตรฐานต่าง ๆ เช่น มอก./ GMP/ HACCP/ BRC และ FSC จึงเป็นที่ไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเลือกให้เป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก พร้อมทั้งดำเนินการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
สำหรับธุรกิจร่วมทุนกลุ่มธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น และ ธุรกิจชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ ทั้งในไทย อินเดีย และ จีน ชะลอการเติบโตตามกลุ่มอุตสาหกรรม
นายเฉลียว กล่าวต่อว่า บริษัทตั้งงบลงทุนในปีบัญชี 68/69 รวม 483 ล้านบาท เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพิ่มเครื่องจักร และใช้ปรับปรุงไลน์การผลิต โดยบริษัทมั่นใจว่าความแข็งแกร่งของนวัตกรรม การปรับตัวเชิงกลยุทธ์ และความเข้าใจในตลาดโลก จะช่วยให้ทั้งสามธุรกิจหลักของบริษัทสามารถเติบโตอย่างมั่นคงในปีบัญชี 68/69 แม้เผชิญความท้าทายระดับมหภาค