
นายกิตติชัย นาคะประเสริฐกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายวาณิชธนกิจ บล. ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.อินดิจิ [IDG] เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นับหนึ่งไฟลิ่งอนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ของ IDG เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 28,000,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 28.00 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลัง IPO มูลค่าที่ตราไว้ (Par) หุ้นละ 0.50 บาท และจะเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี (Technology) ภายในปี 68
IDG ประกอบธุรกิจที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน (Digital Transformation) และพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Digital Platform) แบบครบวงจร โดยใช้เทคโนโลยีชั้นนำที่ทันสมัย มาวางโครงสร้างพื้นฐานทางธุรกิจให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิด "Simplify Work, Amplify Innovation" โดยบริษัทมีความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านการทำงานที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร และเสริมศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจในยุคดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ด้วยศักยภาพและความเชี่ยวชาญที่ครอบคลุม ทำให้บริษัทฯ สามารถออกแบบโซลูชันที่มีประสิทธิภาพตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจ พร้อมบูรณาการการทำงานกับระบบคลาวด์ โครงสร้างพื้นฐาน IT และแอปพลิเคชันที่หลากหลายภายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยจุดเด่นของ IDG มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมที่ยาวนานมากกว่า 24 ปี ด้านการให้คำปรึกษาและพัฒนาระบบดิจิทัลให้กับองค์กรชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญสูงสุดกับการพัฒนาระบบงานที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถรองรับกับความต้องการของลูกค้าองค์กรได้อย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งบริษัทยังมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาระบบบริหารจัดการทำงาน ทั้งในรูปแบบรวมศูนย์และกระจายศูนย์ ซึ่งครอบคลุมการบริหารจัดการองค์กรในทุกมิติ ช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการทั้งทรัพยากร และกระบวนการทำงานทุกจุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรองรับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้สอดคล้องและสนับสนุนเป้าหมายระยะยาวขององค์กร
นายวิธาน ฉั่วเจริญศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IDG กล่าวว่า บริษัทเดินหน้าเติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วย 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.การจำหน่ายซอฟต์แวร์ 2.การให้บริการให้คำปรึกษา การพัฒนาระบบ การให้บริการบำรุงรักษาระบบและซอฟต์แวร์ และ 3.การให้บริการอื่นๆ
บริษัทมีความเชี่ยวชาญในกลุ่มเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ช่วยให้องค์กรสามารถบริหารทรัพยากรและกระบวนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ พร้อมรองรับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เพื่อผลักดันการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรในระยะยาว และในครั้งนี้นับว่าเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่บริษัทฯ พร้อมก้าวสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาด mai เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางธุรกิจ ขยายฐานลูกค้า และรองรับการเติบโตในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล โดยมีเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านที่ปรึกษา และพัฒนาโซลูชันดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันระดับสากล ที่องค์กรชั้นนำไว้วางใจ
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานตลอด 3 ปีที่ผ่านมา (ในปี 65-67) มีรายได้รวม 125.95 ล้านบาท 115.01 ล้านบาท และ 127.26 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 22.58 ล้านบาท 11.09 ล้านบาท และ 15.22 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 17.93 ร้อยละ 9.64 และร้อยละ 11.96 ของรายได้รวมในงวดเดียวกัน ตามลำดับ
และในงวด 3 เดือนแรกของปี 67 และ 68 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 5.37 ล้านบาท และจำนวน 5.44 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 16.92 และร้อยละ 15.86 ของรายได้รวมในงวดเดียวกัน ตามลำดับ โดยคิดเป็นโครงสร้างรายได้ 4 ประเภท ได้แก่ 1.รายได้จากการขายซอฟต์แวร์ 2.รายได้จากการบริการพัฒนาระบบดิจิทัล 3.รายได้จากค่าบริการบำรุงรักษาระบบและซอฟต์แวร์ 4. รายได้จากค่าบริการอื่นๆ โดยการเติบโตของรายได้และกำไร เกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ เป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการลงทุนในเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่เติบโตเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม