นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติให้ บมจ.ท่าอากาศยานไทย [AOT] หรือ ทอท. ดำเนินโครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของผู้ประกอบการรายที่ 2 เนื่องจากบริษัท ดับบลิวเอฟเอสพีจีคาร์โก้ จำกัด จะหมดสัญญาในปี 2569 ขณะที่ปัจจุบันปริมาณการจราจรทางอากาศจำนวนของผู้โดยสาร ปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศและการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดนของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากการคาดการณ์ปริมาณสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิพบว่า ในปี 2570 จะมีปริมาณ 1.67 ล้านตัน และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี หากผู้ประกอบการรายที่ 2 หมดสัญญาแล้วยังไม่มีรายใหม่เข้ามา จะทำให้เหลือผู้ประกอบการเพียงรายเดียวที่ให้บริการคลังสินค้า ไม่เพียงพอกับความต้องการในการใช้บริการที่จะเพิ่มสูงขึ้น
ดังนั้น ทอท.จึงจำเป็นต้องหาผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติเหมาะสมล่วงหน้าก่อนที่อายุสัญญารายเดิมจะสิ้นสุดลง ซึ่งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 มาตรา 49 ที่บัญญัติให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำแนวทางการดำเนินโครงการภายหลังจากสัญญาร่วมลงทุนสิ้นสุดลงอย่างน้อย 5 ปี ก่อนที่สัญญาจะสิ้นสุด
นายสุริยะ กล่าวว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ ทอท.จะแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกตาม พ.ร.บ.ร่วมลงทุนฯ มาตรา 36 ประกอบด้วย ผู้แทนเจ้าของโครงการ คือ ทอท. เป็นประธานกรรมการ ส่วนกรรมการเป็นผู้แทนกระทรวงคมนาคม , ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด , ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการนยโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และผู้ทรงคุณวุฒิ
ตามขั้นตอนจะจัดทำร่าง TOR , เปิดรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชน (Market Sounding) , ประกาศเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมประมูล หลังจากได้ผู้ชนะแล้วจะเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท.เห็นชอบ ก่อนส่งให้กระทรวงคมนาคมเสนอ ครม.ขออนุมัติต่อไป คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือน
ทั้งนี้ ดับบลิวเอฟเอสพีจีคาร์โก้ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บมจ.การบินกรุงเทพ [BA] กับสิงคโปร์ สัญญาจะสิ้นสุดในเดือน ต.ค.2569 จึงต้องเปิดประมูลใหม่ คาดว่าจะได้ตัวผู้ประกอบการใหม่ช่วงเดือนก.พ.-มี.ค.2569 เพื่อให้มีระยะเวลาเตรียมการ 6 เดือนก่อนสัญญารายเดิมจะสิ้นสุด โดยดับบลิวเอฟเอสพีจีคาร์โก้ มีสิทธิเข้าร่วมประมูล
"บริการคลังสินค้ารายที่ 2 ปัจจุบันมีศักยภาพรองรับสินค้าที่ 5 แสนตันต่อปีเนื่องจากเป็นเทคโนโลยีของเมื่อ 20 ปีก่อน ขณะที่สัญญาใหม่ จะมีการปรับปรุงระบบการให้บริการ โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่และ AI เข้ามาช่วยในการบริการ จะทำให้เพิ่มศักยภาพการรองรับสินค้าในส่วนของผู้ให้บริการรายที่ 2 เพิ่มขึ้นอีกเกือบ 2 เท่า
ด้านนางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง รักษาการตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.กล่าวว่า ขณะนี้ ทอท.ยังอยู่ระหว่างเปิดประมูลโครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้นและกิจการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 3 และโครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 3 โดยมีผู้ยื่นข้อเสนอแล้วอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการคัดเลือกฯ ตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนฯ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือน ก.ค. 2568
ปัจจุบัน ทอท.ได้ให้สิทธิบริการคลังสินค้าในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิแก่ผู้ประกอบการ 2 ราย คือ บมจ. การบินไทย [THAI] (ผู้ประกอบการรายที่ 1) หมดสัญญาปี 2583 ปริมาณขนส่งสินค้า 1.20 ล้านตัน/ปี และ ดับบลิวเอฟเอสพีจีคาร์โก้ ผู้ประกอบการรายที่ 2 หมดสัญญาปี 2569 ปริมาณขนส่งสินค้า 0.55 ล้านตัน/ปี รวม 1.75 ล้านตัน/ปี
โครงการหาผู้ให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของผู้ประกอบการรายที่ 2 มีมูลค่าโครงการ 15,253 ล้านบาท (ประเมินจากค่าผลประโยชน์ตอบแทน, ค่าเช่าพื้นที่, ค่าลงทุนสิ่งปลูกสร้างและค่าลงทุนอุปกรณ์และระบบ) โดยรูปแบบร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน PPP Net Cost ระยะเวลาดำเนินโครงการ 20 ปี นับจากวันส่งมอบพื้นที่ โดยเอกชนมีหน้าที่จัดหาเงินทุนเพื่อลงทุนสิ่งปลูกสร้าง อุปกรณ์ และระบบ รวมทั้งการดำเนินงานและบำรุงรักษาโครงการฯ ส่วนภาครัฐมีหน้าที่จัดหาที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการและกำกับดูแลและติดตามตรวจสอบคุณภาพ
เอกชนจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รายได้และเป็นผู้รับความเสี่ยงทางด้านรายได้โดยตรง โดยจะต้องจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ภาครัฐเป็นรายปีตามเงื่อนไข ซึ่งกำหนดให้จ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนโดยเปรียบเทียบระหว่างส่วนแบ่ง 10% ของรายได้ต่อเดือน และค่าตอบแทนขั้นต่ำที่แน่นอน โดยให้เอกชนเสนอเข้ามาในขั้นตอนการคัดเลือก เมื่อเปรียบเทียบแล้วเอกชนจะต้องจ่ายในรายการที่มีมูลค่าสูงกว่า
ประมาณการรายได้โครงการ เอกชนจะมีรายได้ตลอดอายุโครงการ 20 ปี ประมาณ 42,205.17 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ อยู่ที่ 34,161.76 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) ค่าลงทุนสิ่งปลูกสร้าง อุปกรณ์ และระบบ จำนวน 1,120 ล้านบาท (2) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบำรุงรักษา จำนวน 33,041.76 ล้านบาท (เอกชนเป็นผู้รับผิดชอบจัดหาเงินทุนทั้งหมด)
ทั้งนี้ จากผลการวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางการเงิน (อัตราคิดลด 3%) ผลตอบแทนการลงทุน มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value : NPV) 1,465.30 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนทางการเงิน (Financial Internal Rate of Return : FIRR) 22.54% ระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) 4 ปี 11 เดือน อัตราส่วนผลประโยชน์ตอบแทนต่อเงินลงทุน (Benefit/Cost Ratio (B/C Ratio) 2.15 เท่า
ส่วนผลตอบแทนการลงทุนของ AOT มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ของค่าผลประโยชน์ตอบแทนทั้งหมดที่จะได้รับ จำนวน 4,919.72 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ ครม.มีมติเห็นชอบให้มีผู้ประกอบการรายที่ 3 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างกระบวนการคัดเลือกเอกชนโดยคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2571 ดังนั้น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะมีผู้ประกอบการ 3 ราย รวมปริมาณสินค้าที่รองรับได้รวม 2.28 ล้านตัน/ปี