นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) และกรรมการผู้จัดการ บลจ. กรุงไทย เปิดเผยในงานเสวนา ภายใต้หัวข้อ : "Thai ESG Extra ทางเลือกลดหย่อนภาษีเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน"ว่า บลจ.ไทย มั่นใจกองทุน Thai ESG Extra หรือ Thai ESGX จะสามารถเติบโตได้แข็งแรงกว่า ไม่ซ้ำรอยกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จึงแนำนะให้เร่งสับเปลี่ยนเงินลงทุนจากกองทุน LTF และวางเงินลงทุนใหม่เพื่อได้รับประโยชน์ทางภาษีอย่างเต็มที่ ก่อน 30 มิ.ย.
จากความกังวลในเรื่องของกองทุนรวมเดิมออกมาเป็นผลขาดทุน หลังจากตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมากในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งการที่นักลงทุนจำนวนมากเริ่มทยอยไถ่ถอนกองทุน LTF โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนสิ้นสุดกำหนดเวลาถือครอง จึงเกิดความไม่มั่นใจในตลาดว่าเม็ดเงินจำนวนนี้จะหายออกไปจากตลาดทุนไทยอีกหรือไม่
นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวว่า ปัญหาของ LTF เนื่องจากลักษณะกองทุน LTF เดิม ที่อาศัยจากการเติบโตของการดำเนินกิจการ บจ.ประเภท Old Economy ในประเทศ เป็นระยะเวลายาว จึงได้รับผลกระทบจากกระแส New Economy ที่ตลาดหุ้นไทยไม่มี รวมถึงความผิดปกติทางเศรษฐกิจที่ไม่คาดคิด เช่น โควิด-19 และมาตรการภาษีของสหรัฐฯ
นางชวินดา กล่าวว่า กองทุนรูป LTF รูปแบบเดิมอาจจะไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป เมื่อผู้ลงทุนในปัจจุบันที่ต้องความแน่นอนมากกว่าเดิม ถึงแม้ที่ผ่านมา ภาพรวมของกองทุน LTF จริง ๆ ก็สามารถมอบประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ให้ได้ เช่น เงินปันผล และประโยชน์ทางด้านภาษี อีกทั้งความสามารถในการ outperform ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ดีกว่าประมาณ 10%
บลจ.ต่าง ๆ ในไทย ก็มั่นใจว่ากองทุน Thai ESGX จะสามารถ perform ได้ดีกว่า เนื่องจากความตื่นรู้ในด้านความยิ่งยืนของ บจ. และก็คาดว่าจะมีการลงทุนในด้านนี้อยู่ตลอด ร่วมกับ เป้าหมายความยั่งยืนก็จะมีความชัดเจนและขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก ทำให้ Thai ESGX มีความแน่นอนในการเติบโต จากข้อกำหนดให้กองทุนลงทุนในสินทรัพย์ภายในประเทศตามแนวคิด ESG (Environmental, Social, and Governance) อย่างน้อย 65% และส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับนโยบายการบริหารงานของผู้จัดการกองทุน ทำให้มีตัวเลือกสำหรับพอร์ตมากขึ้น ช่วยให้กองทุนมีความยืดหยุ่น โดยกองทุนอาจจะเลือกไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศก็ได้
"ปัจจุบันมีปัจจัยลบที่มากระทบตลาดทุนค่อนข้างมาก ตลาดทุนไทยไม่มีหุ้นที่โตได้ จากปัจจัย 2 อย่าง ได้แก่ ตลาดโลกและปัจจัยในประเทศ ที่ผลักดันให้นักลงทุนในไทยไม่มั่นใจในการลงทุน ดังนั้นนักลงทุนและ Fund manager ต้องมีการปรับพอร์ตตลอดเวลา เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้กับนักลงทุน" นางชวินดา กล่าวว่า
ตลาดทุนไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญกับปัญหาและความท้าทายหลายด้าน ส่งผลให้ขาดความเชื่อมั่น และดัชนีตลาดหุ้นลดลง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จึงได้มุ่งมั่นพัฒนากลไกและเครื่องมือต่างๆ เช่น การใช้ Robot Trade และการรองรับ High Frequency Trading รวมถึงก็กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับปรุงกฎเกณฑ์ตลาดทุนไทยให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทุนไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า เพื่อให้ตลาดเติบโตอย่างแข็งแกร่งและเป็นธรรม
"ธรรมาภิบาล" คือหัวใจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นดังกล่าว ภาคส่วนต่างๆ กำลังทำงานเชิงรุกเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทย ซึ่งกองทุน Thai ESG มีบทบาทสำคัญในการช่วยคัดกรองหุ้นที่ไม่มีคุณภาพออกไป และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการลงทุนที่น่าสนใจ โดยสมาคมที่เกี่ยวข้องกำลังอยู่ในโหมด "แอคทีฟ" เพื่อนำความเชื่อมั่นกลับคืนมา ขณะที่ภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลก็ได้กำหนดนโยบายเพื่อสนับสนุนความเชื่อมั่นนี้อย่างต่อเนื่อง
"แม้ตลาดทุนไทยจะถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Old Economy แต่เชื่อมั่นว่า หากสามารถสร้างความเชื่อมั่นในระดับสูงได้ ตลาดทุนไทยก็ยังคงมีศักยภาพในการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการเสริมสร้างธรรมาภิบาลและพัฒนานโยบายที่เอื้อต่อการลงทุน จะเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันตลาดทุนไทยให้ก้าวหน้าต่อไป"
ด้านนายชยนนท์ รักกาญจนันท์ Head Coach & Co-Founder FINNOMENA กล่าวว่า การที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในสภาวะชะลอตัว ก็มีข้อดีเช่นกัน คือ นักวิเคราะห์ได้รวมปัจจัยลบต่าง ๆ เช่น สงครามการค้า สงครามระหว่างประเทศ หรือปัจจัยด้านการเมืองภายในประเทศไว้ในราคาแล้ว จึงทำให้ Valuation ของตลาดไทยในขณะนี้อยู่ในจุดที่เหมาะสมสำหรับการเข้าซื้อ และมาตรการภาษีของทรัมป์ที่คาดว่าจะเบรคภายในปีนี้ โดยคาดการณ์ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจกลับมาอยู่ในช่วง 1,350-1,400 จุด ภายใน 5 ปีนี้
จึงได้แนะนำให้เปลี่ยนมาลงทุนในกองทุน Thai ESGX เนื่องจากมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุดถึง 300,000 บาทต่อปี พร้อมทั้งผสานแนวคิดการเติบโตทางเศรษฐกิจเข้ากับความรับผิดชอบต่อสังคม และเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงจากการที่นักลงทุนจำนวนมากเริ่มทยอยโอนเงินออกจากกองทุน LTF โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนสิ้นสุดกำหนดเวลา อาจส่งผลให้ขนาดของกองทุน LTF มีแนวโน้มเล็กลง หากกองทุนใดมีผู้ถือหน่วยลงทุนต่ำกว่า 35 ราย อาจต้องมีการยุบกองทุน หรือควบรวมกับกองทุนหลัก
นายกุลฉัตร จันทวิมล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายพัฒนาธุรกิจ บลจ. ยูโอบี กล่าวว่า สำหรับการพิจารณาโยกย้ายเงินลงทุนจากกองทุน LTF ไปยังกองทุน Thai ESGX นั้น มีปัจจัยสำคัญที่ผู้ลงทุนควรนำมาประกอบการตัดสินใจสามประการ
ประการแรกคือ สถานการณ์ตลาดและการประเมินมูลค่า (Market Situation and Valuation) ซึ่งในปัจจุบันราคาหุ้นอยู่ในระดับที่น่าสนใจและมีโอกาสในการปรับตัวลดลงจำกัด
ประการที่สองคือ โครงสร้างของกองทุน โดยกองทุน Thai ESGX มุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพดีหรือมีความยั่งยืนสูง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเกณฑ์ของภาครัฐที่เป็นประโยชน์ต่อผู้จัดการการลงทุน ทั้งนี้ กลุ่มหุ้นที่บริษัท ยูโอบี เข้าไปลงทุนนั้นเป็นหุ้นที่มีคุณภาพ ไม่ใช่หุ้นที่มีความผันผวนสูงหรือมีขนาดเล็ก
ประการที่สามคือ ภาระภาษีของผู้ลงทุนแต่ละราย หากผู้ลงทุนจะได้รับประโยชน์ทางภาษีในหลักล้านบาท การพิจารณาการโอนย้ายเงินลงทุนต้องเป็นไปอย่างรอบคอบ เนื่องจากหนึ่งในเงื่อนไขการโอนคืนคือต้องโอนย้ายเงินลงทุนทั้งหมดและถือครองต่อเนื่องอีก 5 ปี
โดยกลุ่มหุ้นคุณภาพดีในกองทุน Thai ESGX จะมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่ดียิ่งขึ้นไปอีก นอกจากนี้ คุณสมบัติของกองทุนยังมีความหลากหลาย ทั้งกองทุนผสมที่ช่วยลดความผันผวน หรือการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นต่างประเทศได้ด้วย ทำให้ผู้ลงทุนมีทางเลือกมากขึ้นตามระดับความเสี่ยงที่ต้องการจะลดหรือกระจาย ในปัจจุบัน ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงการประเมินมูลค่าที่ค่อนข้างต่ำ ส่งผลให้มีความเสี่ยงในการปรับตัวลงน้อย แต่มีโอกาสในการปรับตัวขึ้นมากกว่า