
โบรกเกอร์แนะ "ซื้อ/เก็งกำไร" หุ้น บมจ.ไทยออยล์ [TOP] คาดแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/68 กำไรโต QoQ รับค่าการกลั่นฟื้นตัวมาที่กว่า 5 เหรียญ/บาร์เรล จากไตรมาส 1/68 เฉลี่ยอยู่ที่ 3.16 เหรียญ/บาร์เรล อีกทั้งราคาน้ำมันดิบเริ่มขยับขึ้นช่วยชดเชย Stock Loss บางส่วน ขณะที่โครงการ CFP กลับมาเดินหน้าได้แล้วหลังจากได้ตัวผู้รับเหมาใหม่ ส่วนเหตุการณ์น้ำมันรั่วท่อกลางทะเล SMB ความเสียหายจำกัดเพราะมีปริมาณไม่มาก
ขณะที่ราคาหุ้น TOP ปรับตัวลงมากแล้ว ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2552 และอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย -2SD โดยหุ้น TOP ปิดตลาดวันนี้ 28.50 บาท
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย บาท/หุ้น
เคจีไอ Outperform 35.00
ลิเบอเรเตอร์ ซื้อ 34.00
กสิกรไทย Outperform 33.30
กรุงศรี ซื้อ 33.00
ทรีนีตี้ เก็งกำไร 32.00
บัวหลวง ซื้อ 31.00
ฟิลลิป ซื้อ 30.00
หยวนต้า เก็งกำไร 29.00
บล.กสิกรไทย ระบุว่า TOP เป็นโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีกำลังการกลั่น 275,000 บาร์เรลต่อวัน และครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 30% ปัจจุบันหุ้นซื้อขายอยู่ในระดับมูลค่าต่ำสุดในประวัติศาสตร์ ด้วย PBV เพียงแค่ 0.4 เท่า ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 52 และอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย -2SD
อย่างไรก็ตาม คาดว่า GRM จะฟื้นตัวในระยะสั้นในไตรมาส Q2/68 หนุนจากการบริโภคน้ำมันเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลในช่วงขับขี่ของตลาดหลัก รวมถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ปริมาณสต็อกของก๊าซโซลีนและน้ำมันดีเซลยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ซึ่งส่งผลให้ Singapore GRM ปรับตัวดีขึ้น โดยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 5.x ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรลในไตรมาส 2 จาก 3.16 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในไตรมาสไตรมาส 1/68
ขณะที่ปริมาณน้ำมันรั่วของ SMB เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีน้อยกว่าเดิมมาก (13% ของครั้งก่อน) และจำกัดความเสียหายได้เร็วประมาณ 12-15 ชั่วโมง แต่อาจมีค่าขนส่งเพิ่มประมาณสัปดาห์ละ 1 ล้านเหรียญฯ และจะน้อยลงช่วงมีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นหน่วยที่ 3 ในช่วงเดือน ก.ค.(30 วัน) ซึ่งราคาหุ้น TOP ที่ลดลงมาเป็นโอกาสสะสม มองเป็น sentiment เชิงลบช่วงสั้น จากเหตุสุดวิสัย และความเสียหายค่อนข้างจำกัด
สำหรับราคาหุ้น TOP ที่ขยับตัวขึ้นมาเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน นายจักรพงศ์ เชวงศรี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดตอบรับการนำสินทรัพย์ที่มีอยู่มาสร้างรายได้ (Asset Monetization) ตามกลยุทธ์ของกลุ่ม บมจ.ปตท.[PTT] ที่ให้นำทรัพย์สินของบ.ลูก อาทิ IRPC, PTTGC, TOP นำมาขายให้กับ PTT เพื่อนำเงินมาลดหนี้ เพราะ PTT มีต้นทุนดอกเบี้ยเงินกู้กว่า 2% ขณะที่ บ.ลูกมีต้นทุน 5%
ทั้งนี้ คาดว่าในไตรมาส 2/68 น่าจะมีกำไรใกล้เคียงกับไตรมาส 1/68 (QoQ) หรือดีกว่าเล็กน้อย แม้ยังต่ำกว่าไตรมาส 2/67 (YoY) โดยค่าการกลั่นในไตรมาส 2/68 อยู่ประมาณ 5-6 เหรียญ/บาร์เรล สูงขึ้นกว่าในไตรมาส 1/68 อีกทั้งราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 2/68 ปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาส 1/68 ทำให้โอกาสขาดทุนสต๊อกน้ำมันลดลง
ขณะที่โครงการพลังงานสะอาด (CFP) อยู่ระหว่างหาผู้รับเหมาให้ครบและเดินหน้าสร้างต่อได้ โดยต้นทุนโครงการอยู่ในวงเงิน 7,100 ล้านเหรียญสหรัฐ
บล.ลิเบอเรเตอร์ ระบุในบทวิเคราะห์หุ้น TOP ไตรมาส 2/68 คาด GRM ฟื้นตัวและดีต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง ผู้บริหารคาดแนวโน้มราคาน้ำมันดิบช่วงที่เหลือของปีนี้จะอยู่ระหว่าง 60-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยมีปัจจัยลบที่กระทบคือ OPEC มีการเพิ่มกำลังการผลิตเร็วกว่าคาดจากที่เคยลดกำลังการผลิตลง 2.2 ล้านบาร์เรล/วันก่อนหน้านี้ และคาดจะกลับไปผลิตเท่าเดิมประมาณเดือน ก.ย.73 แต่จากการเพิ่มกำลังการผลิตมากกว่าแผนถึง 3 เท่า ทำให้จะกลับมาครบในเดือน ต.ค.68 นี้
ส่วนภาษี "ทรัมป์" ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์การใช้น้ำมันให้ลดลง และการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์สหรัฐ-อิหร่าน หากได้ข้อสรุปจะทำให้อุปทานเพิ่มขึ้นอีกด้วย
แนวโน้ม GRM ของโรงกลั่น คาดจะดีขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะแก๊สโซลีนและน้ำมันเครื่องบิน ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับ เข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว รวมถึงโรงกลั่นในสหรัฐและยุโรปปิดตัวลงหลังจากกำไรหดตัว ขณะที่น้ำมันกลุ่มดีเซลและน้ำมันเตาคาดได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ลดลง เนื่องจากส่วนใหญ่จะใช้เพื่ออุตสาหกรรมและขนส่งเป็นหลัก โดย 2QTD SGRM อยู่ที่ 5.1 เหรียญสหรัฐจาก 3.16 เหรียญสหรัฐในไตรมาส 1/65
กลุ่มปิโตรเคมี โดยเฉพาะกลุ่มอะโรเมติกส์ คาด PX จะกระทบน้อยกว่า BZ จากอุปทานใหม่เพิ่มน้อยกว่าอุปสงค์ แต่ระหว่างการชะลอการขึ้นภาษีระหว่างสหรัฐ-จีนจะช่วยให้ดีขึ้นช่วงสั้น กลุ่ม Lube base นั้น Base Oil ลดลงจากอุปทานเพิ่มขึ้น ขณะที่ Bitumen สเปรดเพิ่มขึ้นจากอุปสงค์เพิ่ม
เราคาดแนวโน้มช่วงที่เหลือของปีธุรกิจหลักยังเห็นการฟื้นตัว เพียงแต่อาจได้รับผลกระทบจากรายการพิเศษขาดทุนสต็อกตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลง q-q ซึ่งราคาเฉลี่ย Q1/25 อยู่ที่ 76.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ราคาล่าสุดอยู่ 63.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
"การดำเนินงานไตรมาส 1/68 ยังดีตามคาด ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 2/68 ธุรกิจหลักคาดฟื้นตัวตาม GRM ที่ดีขึ้นแต่อาจได้รับผลกระทบจากขาดทุนสต็อกมากดดัน อย่างไรก็ตาม โครงการ CFP ที่มีความชัดเจนขึ้นหลัง TOP เดินหน้าหาผู้รับเหมารายใหม่ คาดจะทราบผลอย่างช้าในไตรมาส 3/68 นี้ทำให้ทุกอย่างดูคลายกังวลไปได้"ด้าน บล.ทรีนีตี้ คงราคาเป้าหมายหุ้น TOP ที่ 32 บาท อิง PBV ที่ 0.4 เท่า ซึ่งเป็นระดับสมัย COVID-19 ปัจจุบันราคาหุ้น Trade ที่ 0.33 เท่า ต่ำกว่าระดับ -2SD ด้วยความกังวลในเรื่องโครงการ CPF ที่มีความล่าช้าและต้องเพิ่มงบลงทุน คาดว่าราคาหุ้นจะยัง sideway ต่อไปจากปัจจัยดังกล่าว
TOP รายงานกำไรไตรมาส 1/68 ตามคาดที่ 3.5 พันล้านบาท -40% YoY, +27% QoQ ไตรมาสนี้จะมีผลของ Stock gain 1.12 พันล้านบาท และ Extra gain อื่นๆ จากทั้ง Fx, Hedging ประมาณ 515 ล้านบาท ดังนั้นแล้ว Core Profit อยู่ราว 1.9 พันล้านบาท
แนวโน้มไตรมาส 2/68 อาจจะได้รับผลของ Stock loss จากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงมาค่อนข้างเร็วและรุนแรง GRM อาจจะยังทรงตัวอยู่ได้เริ่มเข้าสู่ Driving Season Crack Spread ของ น้ำมันเบนซินน่าจะปรับดีขึ้น ในขณะที่ Crack Spread ของ น้ำมันดีเซลอาจจะถูกกดดันจากสงครามการค้า
คงประมาณการกำไรปี 68 ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท +35% YoY โดยคาดกำไรไตรมาส 1/68 จะคิดเป็น 25% ของประมาณการทั้งปี