บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ระบุว่า การเมืองไทยเข้าสู่ภาวะวิกฤติที่อาจนำไปสู่การยุบสภา จาก 2 เหตุการณ์สำคัญ ได้แก่ 1) การปรับคณะรัฐมนตรี โดยจะเรียกคืนตำแหน่ง รมว.มหาดไทย จากพรรคภูมิใจไทย นำไปสู่การถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล 2) ประเด็นคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร กับอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา สมเด็จฮุน เซน เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.68 โดยบทสนทนาแสดงถึงความไม่เป็นเอกภาพระหว่างรัฐบาลกับกองทัพไทย การแทนตัวเองในฐานะหลานและแสดงความนับถือต่ออีกฝ่ายในฐานะลุง รวมถึงการรับปากจะดำเนินการตามที่สมเด็จฮุนเซนร้องขอ คลิปดังกล่าวถูกวิจารณ์ว่าการวางตัวไม่เหมาะสมต่อสถานะผู้นำประเทศ และมีเสียงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกหรือยุบสภา
เราประเมินฉากทัศน์ที่เป็นไปได้ดังนี้ 1) เปลี่ยนนายกฯ เป็นนายอนุทิน ชาญวีรกูล โดยเพื่อไทยและภูมิใจไทยยังคงร่วมรัฐบาล โอกาส 40% 2) ยุบสภา โอกาส 30% โดยเฉพาะหากพรรคร่วมรัฐบาลพร้อมใจกันถอนตัว 3) เพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ โอกาส 20% นายกฯ อาจพยายามบริหารต่อ แต่จะเผชิญแรงต้านและความเสี่ยงต่อการฟ้องร้องถอดถอน อีกทั้งการเปลี่ยนนายกฯ อาจไม่ได้รับเสียงรับรองจากรัฐสภา (ส.ส. + ส.ว.) หรือ 4) สลับขั้ว (พรรคประชาชน + ภูมิใจไทย) โอกาส 10% พรรคประชาชนอาจเข้าร่วมรัฐบาลเฉพาะกิจ 612 เดือน เพื่อให้กลไกงบประมาณไม่สะดุด และเตรียมเลือกตั้ง ไม่ว่าผลจะออกทางไหน ก็ดูไม่ค่อยดี
ทั้งฉากทัศน์ที่ 1, 3 และ 4 แม้สามารถแก้วิกฤติการเมืองระยะสั้นได้ แต่จะเจอข้อจำกัดในการผลักดันนโยบาย ส่วนฉากทัศน์ที่ 2 (ยุบสภา) จะทำให้รัฐบาลเข้าสู่สถานะรักษาการ เสี่ยงที่ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 จะล่าช้า ซึ่งกระทบต่อการเบิกจ่ายและเศรษฐกิจในช่วงที่โลกเผชิญแรงกดดันจากสงครามการค้า
แนะหลีกเลี่ยงกลุ่ม Domestic กลุ่มที่อิงการใช้จ่ายภาครัฐ (เช่น รับเหมาก่อสร้าง, สื่อสารขนาดเล็ก) และกลุ่มที่อิงการบริโภคในประเทศ (ค้าปลีก, ธนาคาร, การเงิน) มีแนวโน้มได้รับผลกระทบในทุกฉากทัศน์ที่ไม่เป็นบวก ขณะที่กลุ่มหุ้นที่อิงเศรษฐกิจต่างประเทศ (พลังงาน, บรรจุภัณฑ์, ปิโตรเคมี) และกลุ่มสาธารณูปโภค (เช่น ไฟฟ้า) ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำด้านกำไร มีแนวโน้ม Outperform ตลาดในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางการเมือง
ผลกระทบต่อ GDP ความล่าช้าของพ.ร.บ.งบประมาณ หรือขาดมาตรการที่เหมาะสมที่จะบรรเทาผลกระทบจากการขึ้นภาษีการค้า จะทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการปรับลด GDP ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญความท้าทายภายนอกต่างๆ เรามองหุ้นกลุ่มอิงปัจจัยนอกประเทศ อาทิ IVL, SCGP, RATCH, EGCO จะได้รับผลกระทบจำกัดมากที่สุด
ภาพรวมกลยุทธ์ แกว่งตัวในกรอบ 1,080-1,150 จุด เข้าสู่โหมดระมัดระวัง เราแนะนำหมุนเงินลงทุนถือเงินสด หรือหมุนเงินลงทุนมายังกลุ่ม External และ Defensive อาทิ IVL, SCGP, RATCH และ EGCO หากราคาปรับลดลงมาตามตลาด เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยการเมืองในประเทศมากนัก แนวรับ 1,080 จุดและแนวต้าน 1,150 จุด สัดส่วนลงทุน:เงินสด 50% vs พอร์ตหุ้น 50%
ขณะที่ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า การเมืองไทยยังคลุมเครือไม่มีทางออกที่แน่ชัดในช่วงนี้ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาจากคลิปเสียงที่เผยแพร่ออกมาผ่านสื่อต่างๆ เมื่อวานนี้ ส่งผลให้เกิดความสั่นคลอนของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ต้องหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลชุดปัจจุบันสามารถแก้ไขและเรียกความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยได้ ผ่าน 4 กรณี โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1.การปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) เป็นแนวทางที่เบาที่สุด เพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยอาจมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีบางตำแหน่งเพื่อให้พรรคร่วมพอใจ คาดใช้เวลาราว 714 วัน หากมีความเห็นร่วมกันเร็ว
2.การเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี หากพรรคร่วมถอนตัวหรือเสียงในสภาไม่พอ อาจมีการเสนอชื่อบุคคลใหม่เป็นนายกฯ ซึ่งต้องผ่านการลงมติในสภาผู้แทนราษฎร โดยผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจะต้องได้เสียง ตั้งแต่ 248 เสียงขึ้นไป(มากกว่ากึ่งหนึ่ง) คาดใช้เวลาราว 3045 วัน
3.การยุบสภา หากความขัดแย้งดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขได้ อาจนำไปสู่การยุบสภา ซึ่งจะต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 4560 วัน เปิดโอกาสให้ประชาชนตัดสินใจใหม่ผ่านการเลือกตั้ง โดยรวมกระบวนการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ใช้เวลาประมาณ 75105 วัน
4.การรัฐประหาร มักเกิดขึ้นเมื่อการเมืองถึงทางตัน มักตามมาด้วยการตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจหรือคณะรักษาความสงบ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงน่าจะสร้างแรงต้านจากฝั่งประชาชนและนานาชาติสูง ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นระหว่างประเทศ
หากการเมืองในประเทศเกิด OVERHANG และยังไม่มีแนวทางที่แก้ไขชัดเจน คาดทำให้งบประมาณปี 69 ที่ผ่านวาระ 1 ไปแล้วติดขัดและไม่สามารถโหวตพิจารณาวาระ 2-3 ได้ ซึ่งทำให้เม็ดเงินที่จะออกมากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะถัดไปขัดสน เฉกเช่นเดียวกับรัฐบาลยุคนายเศรษฐา ทวีสิน ในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งจะกดดันให้ GDP ในปี 68-69 อาจโตต่ำกว่าประมาณการที่หลายสำนักเศรษฐกิจคาดการณ์ไว้
ในแง่มุมของผลกระทบของความไม่แน่นอนทางการเมือง จากรายงานของ ธปท. เผยว่าส่งผลเชิงลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ความขัดแย้งทางการเมืองส่งผลต่อเศรษฐกิจในสาขาการโรงแรมมากที่สุด รองลงมาเป็น สาขาการก่อสร้าง สาขาอสังหาริมทรัพย์ และสาขาบริการขนส่ง ตามลำดับ
นอกจากนี้ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการพิจารณางงบประมาณปี 2569 เลื่อนออกไปได้ หากเสถียรภาพในฝั่งรัฐบาลอ่อนแอลง ดัชนีความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทย
ในมุมของผลตอบแทนตลาดหุ้น หรือ SET INDEX ก่อน-หลัง ความไม่แน่นอนทางการเมืองมักผันผวนช่วงสั้น แต่ระยะถัดไปมักปรับตัวขึ้นได้ดี แต่อย่างไรก็ตามภาวะการเมืองในปัจจุบันคล้ายคลึงกับความขัดแย้งทางการเมืองในอดีต ณ ปี 2549 (ยุบสภา) และ 2556 (ยุบสภา) ที่ 1 เดือนก่อนเกิดเหตุการณ์ SET INDEX ปรับตัวลงราว -1.5% ถึง -6% บ่งชี้ว่า SET INDEX มีโอกาสผันผวนต่อ ส่งผลให้ VOLUME อาจหายลงไปอย่างมีนัยฯ และรอปัจจัยหนุนใหม่ในระยะถัดไป โดยวันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET ระดับ 1085-1110 จุด
บล.เอเอสแอล แนะนำชะลอการลงทุนกลุ่ม Domestic play ขานรับปัจจัยเสี่ยงจากปัจจัยทางการเมือง โดยเฉพาะเสถียรภาพของรัฐบาลหลัง พรรคภูมิใจไทยลาออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้เกิดเป็นรัฐบาลปริ่มน้ำ เนื่องจากจำนวนเสียงสส. ของฝ่ายรัฐบาลเหลือ 257 เสียง ขณะที่ฝ่ายค้านอยู่ที่ 234 เสียง ห่างเพียง 23 เสียง ซึ่งมี สส.ที่พ่วงตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่อีกถึง 10 คน นอกจากนี้พรรคร่วมรัฐบาลอื่นจะมีการประชุมกรรมการบริหารพรรคเพื่อตัดสินใจในสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดัน sentiment การลงทุนในระหว่างวันหากมีผลสรุปว่าจะออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
อย่างไรก็ดี หากไม่มีการออกเพิ่มของพรรคร่วมฯ สิ่งที่ต้องติดตามในระยะถัดไปคือ การคุมเสียง และเสถียรภาพงานสภาฯให้ดี เพราะอาจถูกเล่นเกม "ล่มประชุม" โดยเฉพาะการล้มกฎหมายสำคัญอย่างร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่จะพิจารณาวาระ 2-3 ในเกือนส.ค. และร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เป็นต้น ซึ่งตามธรรมเนียมการเมือง นายกฯ อาจต้องลาออกหรือยุบสภาหากไม่ได้รับการอนุมัติ
ทั้งนี้เราประเมิน scenario การเมืองไทยต่อ SET index ในประเด็นการพูดคุยของกรรมการบริหารพรรคร่วมในวันนี้ ได้แก่ และพรรคประชาธิปัตย์ (21 เสียง) รวมถึงพรรคร่วมอื่นๆ ที่หากลาออกจากพรรคร่วมฯ จะทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลชุดปัจจุบันหมดไป และนำไปสู่การยุบสภาหรือการลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ได้ดังนี้
1. กรณีพรรคร่วมยังอยู่ครบ ไม่มีลาออกเพิ่ม ยังคงทำให้เป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ คาดตลาดแกว่งตัวในกรอบ 1076-1100 จุด เพราะยังมีความกังวลในเสถียรภาพของรัฐบาลในระยะถัดไป
2. กรณีพรรคร่วมฯลาออก จนเสียงรัฐบาลน้อยกว่าฝ่ายค้าน คาดตลาดต่ำกว่า 1076 จุด เนื่องจากจะเกิดสูญญากาศทางการเมืองในระยะสั้น
นอกจากนี้ยังมีแรงกดดันจากการปรับลดน้ำหนักของ FTSE ในวันพรุ่งนี้
ด้าน บล.กรุงศรี ประเมินความไม่แน่นอนทางการเมืองไทย มาสู่ความเสี่ยงหลักการผ่านร่างงบประมาณปี 2569 ที่กำลังรอพิจารณาวาระที่ 2-3 ส.ส. หากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ช่วงถัดไป เราคาดการเมืองน่าจะเดินหน้า 3 ฉากทัศน์
1.) นายกฯประกาศลาออก และแต่งตั้งรัฐบาลชุดใหม่ เราคาดว่าจะเป็นบวกระยะสั้นต่อตลาดที่ความเสี่ยงร่างงบประมาณปี 2569 จะกระทบจะต่ำลง แต่ยังน่าจะมี Overhang ระยะกลาง
2.) ยุบสภา เราคาดว่าจะกระทบตลาดระยะสั้น หากพิจารณาการเลือกตั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นและได้รัฐบาลช่วงปลายปี 68 จะกระทบกรอบการพิจารณาต่องบประมาณปี 2569 แต่จะฟื้นตัวจากความชัดเจนที่เกิดขึ้น ก่อนที่ภาพระยะกลาง ตลาดให้น้ำหนักคะแนนเสียงที่แต่ละพรรคได้รับ เพื่อประเมินเสถียรภาพรัฐบาลใหม่
3.) รัฐบาลปัจจุบันเดินหน้าต่อ เราประเมินเป็นกรณีที่สร้าง Overhang กับตลาดจนกว่าจะมีความชัดเจนด้านใดด้านหนึ่งออกมาเพิ่มเติม
สำหรับผลกระทบงบประมาณล่าช้าจะเกิดขึ้นในส่วนการใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐ (15% และ 6%ของ GDP) รวมถึงองค์ประกอบอื่น เช่น การบริโภค (61% ของ GDP) รวมถึงการลงทุนภาคเอกชน(18% ของ GDP) รวมถึงกำไรตลาดที่มีสัดส่วนหุ้น Domestic (ราว 60% ของทั้งหมด) ทั้งนี้ทุกๆ 5% ของกำไรหุ้น Domestic ที่ลดลงจากผลกระทบการเมืองจะสร้าง Downside กำไรตลาดราว 2.6 บาท (3.0% จากคาดการณ์ปัจจุบันที่ 87 บาท) และกระทบเป้าหมาย SET ที่ 40-41 จุด (จากเป้าหมายปัจจุบันที่ 1370 จุด)
ส่วนภาพตลาด เราประเมิน SET ที่เริ่มสะท้อนความกังวลการเมืองตั้งแต่ 13 พ.ค.และปรับตัวลงแล้ว -10% น่าจะสะท้อนความเสี่ยงการเมืองไปพอสมควรแล้ว กอปรกับ สถานการณ์ที่ใกล้มีความชัดเจนจากวานนี้ที่เริ่มมีจุดเปลี่ยน ทำให้ประเมิน Risk Sentiment น่าจะอยู่ในขาปลายแล้ว กลยุทธ์ระยะสั้นเน้นสลับพักเงินกลุ่ม Global Plays ขณะที่ทยอยหาจังหวะสะสมหุ้น Domestic หลังตอบรับความเสี่ยงล่าสุดเพิ่มเติม