มองมุมต่าง: หุ้น KTC โอกาสของนักลงทุนหลังไฟมอด

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 24, 2025 18:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

มองมุมต่าง: หุ้น KTC โอกาสของนักลงทุนหลังไฟมอด

หุ้น บมจ.บัตรกรุงไทย [KTC] ถูกพูดถึงเป็นกระแสร้อนแรงมากในช่วงนี้

สิ่งที่ทำให้ นักลงทุนในตลาดหุ้น "ใส่ใจ" กับหุ้นตัวนี้ เกิดจากกระแสข่าวที่ว่ามีนักลงทุนรายหนึ่งที่ถือหุ้น KTC เป็นจำนวนมากถึง 1 ใน 3 ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท และใช้บัญชีมาร์จิ้นเพื่อควบคุมหุ้นตัวนี้ตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา โดยรู้ดีว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุด คือ ธนาคารกรุงไทย (KTB) จะไม่ได้เคลื่อนไหว หรือขยับปรับเปลี่ยนสัดส่วนการถือหุ้นเลยในช่วงที่ผ่านมา

การคุมหุ้นดังกล่าวจึงเดินมาถึงปลายทาง เมื่อราคาหุ้น KTC ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จนต่ำกว่าจุดที่จะต้อง "เติมเงิน" แม้ผลประกอบการจะออกมาดีสวนทางก็ไม่ได้ช่วยอะไรกับราคาหุ้น เพราะเป็นหุ้นที่มีเจ้ามือคุมอยู่แบบนี้ ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่ง แม้แต่กองทุนต่างๆ ก็ทราบดี แต่ก็มีเพียงแค่ "กองทุนวายุภักษ์" เพียงแค่เจ้าเดียวที่เห็นชื่อโผล่เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นอีกรายหนึ่ง

กรณี "ไฟไหม้หุ้น" ที่เกิดขึ้นกับ KTC หากจะหาสาเหตุหรือคำตอบว่าเกิดจากอะไร หรือใครเป็นต้นตอ ก็น่าจะแบ่งได้เป็นประเด็นหลัก ๆ คือ

1. ฝั่งนักลงทุนเองที่ลงทุนเกินตัว ใช้ Leverage สูงเกินไป ซึ่งเหตุผลไม่แน่ใจว่าต้องการความร่ำรวยที่รวดเร็ว หรือ ขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้ หรืออย่างไร ก็ไม่อาจทราบได้

แต่อย่างน้อยๆ วิธีการดังกล่าวมันบ่งบอกว่า "ขาดวินัยทางการเงิน" ซึ่งสวนทางกับวีถิแห่งการเป็นนักลงทุนที่เน้นคุณค่า(วีไอ)อย่างสิ้นเชิง

2.โบรกเกอร์และธนาคารปล่อยสินเชื่อโดยไม่ได้ประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ

การมีมาร์จิ้นโลนที่แสดงอยู่ในระบบสูงถึง 420 ล้านหุ้นของหุ้น KTC หรือคิดเป็น 16% ของหุ้นทั้งหมด ซึ่งไม่ได้นับการกู้นอกระบบที่ไม่ทราบว่าจะมีหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน

ประเด็นดังกล่าว ทำให้นักลงทุนที่ใช้บัญชีมาร์จิ้นนี้กลายเป็นหนึ่งในบุคคลธรรมดาที่มีภาระหนี้สูงที่สุดติดอันดับของประเทศ

3.การควบคุมมาร์จิ้นของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่มีท่าทีในการประกาศนโยบายที่แกร่งกร้าวช่วงต้นปี 68 แต่ในทางปฏิบัติกลับกลายเป็นตรงกันข้าม

หากยังจำกันได้ ในช่วงต้นปี 2568 ทาง ก.ล.ต.มีความพยายามเข้ามาควบคุมการปล่อยบัญชีมาร์จิ้นของโบรกเกอร์ให้อยู่ในสถานะที่จะสร้างความเสี่ยงให้กับระบบน้อยที่สุด

ในความเป็นจริง นโยบายที่ทาง ก.ล.ต.ประกาศจะคุมการใช้มาร์จิ้นถือเป็นเรื่องที่ดีมากที่จะนำมาใช้ป้องกันนักลงทุนรายย่อยไม่ให้ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงอื่นที่นอกเหนือจากการทำธุรกิจ เนื่องจาก ตลาดหุ้นไทยได้รับบทเรียนจากการให้มีการกู้มาร์จิ้นในหุ้นรายตัว จนทางตลาดเซไปพักใหญ่ ซึ่งตรงกับช่วงเวลานี้ แต่เป็นปี 2567 ที่ผ่านมา และมีการไปโยนบาปโทษ Naked Short และ Short sell ว่าทำให้หุ้นร่วงหนัก

"ช่วงนั้น มีหุ้นอย่างน้อย 5 ตัว ที่ได้รับผลกระทบจากการที่ผู้บริหาร หรือ เจ้าของบริษัท ไปกู้มาร์จิ้นโลนทั้งในและนอกระบบ เพื่อไป leverage หุ้นตัวเอง จนพังและกลายเป็นโดมิโนอย่างที่เห็น"

นโยบายที่ทางการประกาศต้องการจะคุมเข้มการปล่อยมาร์จิ้นในหุ้นรายตัว แต่ทำไมจึงไม่ทำงาน และปล่อยให้เกิดขึ้นกับหุ้น KTC-XPG-BEC ซ้ำอีก

4. นโยบายการเงินที่ตึงตัวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ ทั้งการลดสภาพคล่องในระบบ ตัวเลขปริมาณเงินในระบบทั้งหมด ต่อ GDP ที่ชะลอตัว

ภาวะตลาดหุ้นที่ซึมลึกต่อเนื่อง นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเริ่มมองเห็นภาพรวมของเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในสภาวะการหดตัวของเงินเฟ้อ (Deflationary Pressure) ไม่ต่างจากช่วงวิกฤติใหญ่ของเศรษฐกิจ (Great Depression) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ดัชนีระดับโลกอย่าง MSCI และ FTSE ปรับลดน้ำหนักตลาดหุ้นไทย และแน่นอนว่า KTC เองก็ได้รับผลกระทบเต็ม ๆ จากสถานการณ์นี้

ทั้งนี้ ถ้ามองย้อนกลับมาที่ตัวธุรกิจของ KTC เอง เราจะเห็นว่าพื้นฐานยังแข็งแรง ธุรกิจเดินได้ตามปกติ แม้จะไม่มีการเติบโตที่หวือหวามากนัก แต่ก็มีเสถียรภาพ มีเงินสด และสามารถจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ ใกล้เคียงกับลักษณะของหุ้นในกลุ่มธนาคารมากกว่าหุ้นเติบโตสูง

หากนำมาเปรียบเทียบกับหุ้นกลุ่ม Finance อย่าง SAWAD หรือ TIDLOR ซึ่งเคยเทรดที่ระดับ PER ราว 57 เท่า ก็พอประเมินได้ว่า หาก KTC ปรับตัวลงมา floor อีกสัก 1-2 ครั้ง ราคาหุ้นก็จะอยู่ในกรอบเดียวกัน ราวๆ 15-16 บาท ค่า P/E อยู่ที่ประมาณ 5-6 เท่า คาดว่า Dividend Yield จะอยู่ประมาณ 9-10% ถือเป็นระดับที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับนักลงทุนที่จ้องรอจังหวะสะสมหุ้นพื้นฐานดี

เหตุผลทำไมต้องเอามาเทียบกับหุ้น SAWAD-TIDLOR ก็เพราะเป็นหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ ที่มีสภาพคล่องเหมือนกัน และจะไม่นำไปเปรียบกับหุ้น AEONTS ที่รายวันเทรดแบบสภาพคล่องน้อย

สรุปคือ นักลงทุนที่ติดตามหุ้น KTC อยู่ อาจยังไม่จำเป็นต้องรีบเข้าซื้อในตอนนี้ แค่ใจเย็นรอให้สถานการณ์นิ่งกว่านี้ก่อน หุ้นในมาร์จิ้นถูก Force จนหมด แล้วค่อยตัดสินใจอย่างมีสติ มีข้อมูล พร้อมมุมมองระยะยาว เพื่อโอกาสที่ดีและความมั่นคงในพอร์ตการลงทุน

ธิติ ภัทรยลรดี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ