CONSENSUS: PTG เก็ง Q2/68 ค่าการตลาดฟื้น เร่งสปีดขยายสาขา"กาแฟพันธุ์ไทย"ตัวปั้นกำไรเด่น

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 25, 2025 15:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

CONSENSUS: PTG เก็ง Q2/68 ค่าการตลาดฟื้น เร่งสปีดขยายสาขา

โบรกเชียร์ "ซื้อ" หุ้น บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี [PTG] เก็งไตรมาส 2/68 โตแกร่ง ค่าการตลาดน้ำมันฟื้นตัวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ขณะที่ "กาแฟพันธุ์ไทย" ดาวเด่นในธุรกิจ non-oil กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งยอดขายและขยายสาขาได้เร็วกว่าคาด เป็นอีกแรงหนุนผลประกอบการโดยรวมฟื้นตัว แม้มีปัจจัยเสี่ยงจากราคาน้ำมันดิบผันผวน แต่ PTG ยังบริหารจัดการได้ดี

ประกอบกับราคาหุ้น PTG ยังอยู่ในระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับในอดีต ขณะที่ะ PTG ยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

CONSENSUS: PTG เก็ง Q2/68 ค่าการตลาดฟื้น เร่งสปีดขยายสาขา

ราคาหุ้น PTG ปิดเช้าอยู่ที่ 5.75 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)

กรุงศรี ซื้อ 10.50

โกลเบล็ก ซื้อ 9.80

หยวนต้า ซื้อ 8.20

กสิกรไทย ซื้อ 8.10

ธนชาต ซื้อ 6.90

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

นักวิเคราะห์จาก บล.กรุงศรี กล่าวว่า แนวโน้มผลงานของ PTG ในไตรมาส 2/68 จะได้แรงหนุนสำคัญจากค่าการตลาดฟื้นตัวเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก จากการติดตามสถานการณ์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นบวกมากขึ้น ซึ่งในรอบเดือน เม.ย.68 ค่าการตลาดของ PTG มีแนวโน้มสูงขึ้นจากไตรมาส 1/68 ที่ระดับ 1.62 บาทต่อลิตร

อย่างไรก็ตาม ช่วงเดือน เม.ย.ราคาน้ำมันปรับตัวลงไปมาก แม้อาจมีผลต่อ Stock loss แต่ค่าการตลาดของ PTG น่าจะยืนเหนือ 1.70 บาท/ลิตรได้ สะท้อนว่าในช่วงสภาวะที่กดดันจาก Stock loss มากที่สุด PTG ก็ยังมีค่าการตลาดที่ดี จึงมองว่า PTG ปลอดภัยมากกว่าผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันด้วยกัน

โดยปกติราคาน้ำมันขาขึ้นผลกระทบต่อค่าการตลาดไม่มากเท่าราคาน้ำมันลดลงเร็ว ดังนั้น ช่วงเดือน เม.ย.68 ที่ราคาน้ำมันลงเร็วเกือบ 10 ดอลลาร์/บาร์เรล PTG ยังสามารถบริหารจัดการค่าการตลาดได้ ดังนั้น จึงยังมองว่าในสถานการณ์ที่กองทุนน้ำมันยังจัดเก็บเงินได้ต่อเนื่องอยู่ และราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นมาในช่วงนี้ไม่ได้เร็วเท่าช่วงขาลง PTG ก็น่าจะยังบริหารจัดการได้ และน่าจะมีเรื่องของ Stock gain ช่วยได้บ้าง

โดยรวมภาพไตรมาส 2/68 ค่าการตลาดน่าจะฟื้นได้เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) ด้วยธุรกิจของ PTG กว่า 90% ของยอดขายคือธุรกิจน้ำมัน รวมทั้งประมาณ 60-70% ของกำไรขั้นต้นมาจากธุรกิจน้ำมัน เพราะฉะนั้นค่าการตลาดจะมีผลค่อนข้างมาก เมื่อค่าการตลาดฟื้นจะหนุนให้ผลงานไตรมาส 2/68 ฟื้นตัวขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/68

"อย่างไรก็ตาม มองว่ายอดขายน้ำมันฟื้นเล็กน้อย QoQ อาจไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนหลักของการฟื้น เรามองว่าค่าการตลาดน่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักมากกว่า"นักวิเคราะห์ กล่าว

สำหรับธุรกิจ non-oil ในไตรมาส 1/68 การขยายสาขา รวมถึงการเติบโตยอดขายร้านกาแฟพันธุ์ไทยทำได้เร็วกว่าคาด แม้บริษัทยังไม่ได้เปิดเผยตัวเลขไตรมาส 2/68 แต่ฐานไตรมาส 1/68 ทำได้ดี แนวโน้มยอดขายในไตรมาส 2/68 ก็น่าจะต้องสูงกว่าที่เราคาดเดิมอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ต้องระมัดระวังเรื่องค่าใช้จ่าย SG&A จากการขยายสาขาเพิ่มขึ้นเร็ว ซึ่งทำให้ในไตรมาส 1/68 รายได้สูงกว่าคาดแต่ Bottom Line ไม่ค่อยเห็นผลบวก เพราะถูกค่าใช้จ่ายจากการเร่งเปิดสาขากดดัน

ส่วนภาพรวมปี 68 จากสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลาง อาจเริ่มมีสัญญาณดาวน์ไซด์ เพราะราคาน้ำมันดิบเริ่มยืนในระดับสูงอีกรอบ ซึ่งหากสูงกว่า 80 ดอลลาร์/บาร์เรล จะเริ่มมีการแทรกแซงของภาครัฐมากขึ้น ดังนั้น เดิมเราเคยมองว่าปี 68 จะเป็นปีที่ PTG เติบโตจากการฟื้นตัวของค่าการตลาดเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก เพราะเรามองว่ากองทุนน้ำมันจะติดลบน้อยลงเรื่อย ๆ ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรก ที่ผ่านมาแนวโน้มยังเป็นไปตามคาดอยู่ แต่เมื่อมีปัจจัยสงครามเข้ามา อาจทำให้การกลับมาเป็นบวกของกองทุนน้ำมันช้ากว่าที่เราคาดได้ และจะเกิดการแทรกแซงของภาครัฐที่ทำให้ค่าการตลาดให้น้อยลง ปัจจัยบวกก็อาจจะเลื่อนออกไป ทำให้การฟื้นตัวของค่าการตลาดไม่สูงอย่างที่เราคาดเดิม อาจเป็นดาวน์ไซด์ของประมาณการได้ อย่างไรก็ตาม ยังมองเป็นภาพของการเติบโตแต่อาจจะเติบโตน้อยกว่าคาด

ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" หุ้น PTG ด้วยราคาเป้าหมาย 10.50 บาท ธีมการลงทุนตามการฟื้นตัวของค่าการตลาด เพราะมองว่าต้นทุนราคาน้ำมันแนวโน้มลดลง เราคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในปี 68 ที่ 68.5 ดอลลาร์/บาร์เรล เทียบปี 67 ที่ 79 ดอลลาร์/บาร์เรล และปี 69 คาดไว้ 65 ดอลลาร์/บาร์เรล ดังนั้น ด้วยระดับของราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มลดลง การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังทำได้ต่อเนื่องและทำให้กองทุนเป็นบวก ส่งผลให้ท้ายที่สุดภาครัฐจะไม่เข้ามาแทรกแซง ซึ่งจะทำให้ค่าการตลาดค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น

ขณะที่ความเสี่ยงที่ต้องติดตาม หากสงครามทวีความรุนแรง ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงมากกว่า 80 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยบวกตรงนี้จะน้อยลง จึงต้องติดตามประเด็นสงครามอย่างใกล้ชิด

สำหรับราคาหุ้น PTG ก่อนจะมีประเด็นเรื่องสงคราม บล.กรุงศรี แนะนำ "ซื้อ" มาตลอด บนธีมของค่าการตลาดที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว ซึ่งสะท้อนได้จากช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.ค่าการตลาดฟื้นตัวได้เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/68 และเลือกเป็น Top Pick สำหรับไตรมาส 2/68

แต่ด้วยสถานการณ์สงครามที่เข้ามา ทำให้ราคาหุ้น PTG ปรับตัวอยู่ที่ประมาณ 6 บาท P/E ประมาณ 10 เท่า อยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับในอดีต ในขณะที่ earning มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ แต่ด้วยสงครามที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่ง ทำให้นักลงทุนยังกังวลต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่อาจกระทบต่อค่าการตลาด แต่เรายังมองว่าสงครามที่ยืดเยื้อไม่ได้รุนแรง และทำให้ราคาน้ำมันดิบอาจไม่ได้เร่งตัวขึ้น


ด้าน บล.โกลเบล็ก ระบุว่า PTG กำลังเตรียมเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นจากกลยุทธ์การเติบโตที่เปลี่ยนผ่านจากธุรกิจน้ำมันไปสู่ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน โดยมีเรือธงสำคัญ คือ กาแฟพันธุ์ไทย (Punthai coffee) สะท้อนได้จากการเติบโตของกำไรสุทธิที่รวดเร็วและแข็งแกร่งในช่วงสามปีที่ผ่านมา

จากการคาดการณ์ภายในปี 70 สัดส่วนกำไรขั้นต้นจากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันของ PTG จะเพิ่มขึ้นเกิน 50% จาก 33% ในไตรมาส 1/68 การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เปลี่ยน PTG อย่างมีนัยสำคัญจากเดิมที่เป็นบริษัทค้าปลีกน้ำมันที่เน้นปริมาณขายและมีอัตรากำไรผันผวน ไปสู่การเป็นกลุ่มบริษัทค้าปลีกเครื่องดื่มและการค้าที่มีอัตรากำไรที่คาดการณ์ได้และมีความมั่นคงกว่า

กาแฟพันธุ์ไทย (Punthai Coffee) ถือกำเนิดขึ้นในปี 55 ร้านแรกเปิดให้บริการในเดือนกันยายน PTG ซึ่งเป็นเจ้าของกาแฟพันธุ์ไทย 100% ได้ปั้นแบรนด์นี้ให้เป็นธุรกิจในเครือที่ไม่ใช่น้ำมัน (non-oil) โดย PTG มีกลยุทธ์หลักในการขยายธุรกิจน้ำมันและเพิ่มจำนวนสถานีบริการน้ำมันเพื่อครองส่วนแบ่งการตลาดสูงขึ้น แต่ตั้งแต่ปี 67 เป็นต้นไป PTG ได้เปลี่ยนกลยุทธ์สำหรับกาแฟพันธุ์ไทย โดยมุ่งเน้นเร่งการเติบโตด้วยการขยายสาขาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดภายใน 3-5 ปีข้างหน้า การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของจำนวนสาขากาแฟพันธุ์ไทยสะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์การเติบโตใหม่ของ PTG โดยจำนวนสาขาได้เพิ่มขึ้นจาก 882 แห่งในปี 66 เป็น 1,347 แห่งในปี 67 และพุ่งขึ้นเป็น 1,476 แห่งในไตรมาส 1/68

ผู้บริหารคาดการณ์ว่าจำนวนสาขากาแฟพันธุ์ไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,947 แห่งภายในปี 68 และตั้งเป้าหมายใหญ่ที่จะขยายสาขาให้ครบ 5,000 แห่งภายในปี 71 ไม่เพียงแต่จำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปริมาณยอดขายกาแฟพันธุ์ไทยก็เติบโตอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้นจาก 30 ล้านแก้ว เฉลี่ยประมาณ 100 แก้ว/วัน (cpd) ในปี 66 เป็นมากกว่า 90 ล้านแก้ว หรือประมาณ 180 แก้ว/วัน ในไตรมาส 1/68 นอกจากนี้ อัตรากำไรขั้นต้นยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างโดดเด่น จาก 40% ในปี 66 เป็นมากกว่า 60% ในปี 67 ซึ่งเป็นผลมาจากประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด (economies of scale)

ผลประกอบการของกาแฟพันธุ์ไทยได้พิสูจน์ให้เห็นว่ากลยุทธ์ปัจจุบันมาถูกทาง โดยสามารถพลิกจากผลขาดทุนสุทธิ 32 ล้านบาท (รายได้ 502 ล้านบาท) ในปี 64 มาเป็นกำไรสุทธิ 78 ล้านบาท (รายได้ 906 ล้านบาท) ในปี 65 และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 212 ล้านบาท (รายได้ 1,412 ล้านบาท) ในปี 66 และล่าสุดในปี 67 กาแฟพันธุ์ไทยทำกำไรสุทธิได้ถึง 292 ล้านบาท (รายได้ 3,049 ล้านบาท) แม้ว่าจะมีการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (capex) สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเพื่อรองรับการขยายสาขาเชิงรุก แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่งของธุรกิจกาแฟในเครือ PTG

ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" พร้อมคงราคาเป้าหมายที่ 9.8 บาท เชื่อว่าราคาหุ้น PTG กำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครั้งสำคัญ จากเดิมที่เป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยธุรกิจน้ำมันและมีอัตรากำไรที่ผันผวน ไปสู่การเป็นธุรกิจ Non-oil ธุรกิจสำคัญอย่าง กาแฟพันธุ์ไทย (Punthai) และ ก๊าซ LPG จะกลายเป็นสองเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของ PTG ซึ่งจะเข้ามาทดแทนธุรกิจสถานีบริการน้ำมันค้าปลีกได้อย่างทันท่วงทีและโดดเด่นในช่วงปี 68-70


ด้าน บล.กสิกรไทย ระบุว่า PTG ยังคงสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดขายปลีกน้ำมันในไตรมาส 1/68 ขึ้นเป็น 22.1% จาก 21.9% ในไตรมาส 4/67 ซึ่งผู้บริหารคาดว่าแนวโน้มดังกล่าวจะต่อเนื่องไปยังไตรมาส 2/68 แม้ว่าผู้ค้ารายใหญ่จะเริ่มใช้กลยุทธ์ด้านราคาในไตรมาส 2/68 โดยให้ส่วนลดน้ำมันเบนซิน 0.5-3 บาท/ลิตร แต่ผลกระทบต่อ PTG ยังมีจำกัด เนื่องจากยอดขายน้ำมันเบนซินคิดเป็นเพียง 25-30% ของปริมาณการขายน้ำมันทั้งหมดของ PTG ขณะที่เราเชื่อว่าคู่แข่งจะไม่ใช้กลยุทธ์ลดราคาดีเซล เพราะจะกระทบต่ออัตรากำไรธุรกิจน้ำมันของพวกเขา ดังนั้น เราคาดว่า PTG จะรักษาส่วนแบ่งการตลาดขายปลีกน้ำมันให้อยู่เหนือระดับ 20% ในปี 68

ผู้บริหารคาดว่าอัตรากำไรน้ำมันในไตรมาส 2/68 จะขยายตัว QoQ จากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง 14% QTD ขณะที่ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลยังคงทรงตัว QTD อยู่ที่ 31.94 บาทต่อลิตรตั้งแต่เดือน เม.ย.68 อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวผู้บริหารคาดว่าอัตรากำไรน้ำมันจะอยู่ในระดับล่างของช่วงปกติราว 1.70-1.80 บาท/ลิตร เนื่องจากรัฐบาลมีแนวโน้มจะจัดเก็บเงินเพื่อฟื้นฟูกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กลับมาเป็นบวกที่ประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท

แม้การบริโภคภายในประเทศจะอ่อนแอ แต่ผู้บริหารยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยโดยตั้งเป้าเปิด 600 สาขาในปี 68 จากที่เปิด 465 สาขาในปี 67 เนื่องจากธุรกิจกาแฟยังคงมีความน่าสนใจด้วย GPM ที่แข็งแกร่งราว 50% และการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่เติบโตต่อเนื่องมากกว่า 35%

แนะนำ "ซื้อ" หุ้น PTG ด้วยราคาเป้าหมาย 8.10 บาทต่อหุ้นเนื่องจากหุ้นยังมี TSR ที่ 33% และแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/68 ที่แข็งแกร่งขึ้น พร้อมกับมี PEG ที่ 0.6 เท่า

https://youtu.be/PKaVMTeXABY



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ