
กลเกมหุ้นที่เกิดกับหุ้น บมจ.บัตรกรุงไทย [KTC] ช่วงต้นสัปดาห์นี้ มีความรู้และข้อมูลที่ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจอยู่ 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ บัญชีมารจิ้น (Margin Account), การบังคับขาย (Force sell) และ การกระทำร่วมกัน (Acting-in-concert) โดยจะมีรายละเอียดดังนี้
1.บัญชีมาร์จิ้น (Margin Account) คือ เครื่องมือทางการเงินที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อเพิ่มขนาดการลงทุน โดยใช้เงินสดหรือหลักทรัพย์ของตนเองเป็นหลักประกัน การลงทุนด้วยมาร์จิ้นช่วยเพิ่มกำลังซื้อ (leverage) และสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนด้วยเงินตัวเองล้วน ๆ หากราคาหลักทรัพย์เคลื่อนไหวในทิศทางที่คาดการณ์ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงก็จะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะขาดทุนจะถูกขยายเพดานด้วยเช่นเดียวกัน
บัญชีมาร์จิ้นมีกลไกสำคัญที่นักลงทุนต้องเข้าใจ ได้แก่ Initial Margin ซึ่งคือเงินที่ต้องวางก่อนเปิดสถานะ และ Maintenance Margin ซึ่งเป็นระดับเงินขั้นต่ำที่ต้องรักษาไว้ในบัญชี หากมูลค่าหลักทรัพย์ลดลงจน Equity (ส่วนของผู้ลงทุน = มูลค่าหลักทรัพย์ - เงินกู้) ต่ำกว่า Maintenance Margin นักลงทุนจะได้รับการแจ้ง "Margin Call" ซึ่งเป็นการเรียกให้เติมเงินเพิ่มเพื่อให้กลับมาสู่ระดับที่ปลอดภัย หากไม่สามารถเติมเงินได้ทันเวลา อาจนำไปสู่การบังคับขายหลักทรัพย์โดยโบรกเกอร์ หรือที่เรียกว่า "Force Sell"
การใช้มาร์จิ้นมีข้อดีหลายด้าน เช่น เพิ่มอำนาจการลงทุน เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนสูง ใช้ในกลยุทธ์ Long, Short หรือ Hedging และเพิ่มความยืดหยุ่นของพอร์ตโดยไม่ต้องขายสินทรัพย์เดิม แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน เช่น ขาดทุนอย่างรุนแรงหากราคาหลักทรัพย์เคลื่อนไหวผิดทาง เสี่ยงต่อการถูก Margin Call หรือ Force Sell และยังมีภาระเรื่องดอกเบี้ยจากเงินกู้ที่ต้องจ่ายต่อเนื่อง
สรุปแล้ว บัญชีมาร์จิ้นไม่ใช่สิ่งที่ควรกลัว แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง ซึ่งต้องใช้ด้วยความเข้าใจและมีวินัยทางการเงิน การบริหารความเสี่ยง เช่น การตั้ง Stop-Loss การตรวจสอบสถานะพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ และการจำกัดระดับ leverage ที่ใช้ ถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการใช้บัญชีมาร์จิ้นอย่างมืออาชีพ
หากใช้ด้วยความรอบคอบ บัญชีมาร์จิ้นสามารถเป็นตัวเร่งให้พอร์ตเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากใช้อย่างประมาท ก็สามารถนำไปสู่การล้างพอร์ตได้ในพริบตาเช่นกัน
2.การ Force Sell หรือ การขายหุ้นโดยการบังคับ คือการที่โบรกเกอร์ทำการขายหุ้นของนักลงทุนในบัญชีมาร์จิ้น โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมล่วงหน้า โดยมักเกิดขึ้นในกรณีที่นักลงทุนใช้บัญชีมาร์จิ้น (Margin Account) แล้วมูลค่าหลักประกันตกต่ำลงจนไม่เพียงพอตามข้อกำหนดของโบรกเกอร์
3. การกระทำร่วมกัน (Acting-in-concert) ตามกฎหมายหลักทรัพย์ หมายถึง การที่บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปมีเจตนาร่วมกันในการเข้าครอบงำกิจการของบริษัทจดทะเบียน ไม่ว่าจะโดยการถือหุ้น การใช้สิทธิออกเสียง หรือการมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการของบริษัท
ถึงแม้บุคคลเหล่านั้นจะไม่ได้ถือหุ้นร่วมกันโดยตรง แต่หากมีพฤติการณ์ที่แสดงว่าได้มีการวางแผน ประสานงาน หรือให้การสนับสนุนกันทางการเงินหรือการตัดสินใจ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจควบคุม ก็จะถือว่าเข้าข่าย "การกระทำร่วมกัน" ภายใต้บทบัญญัติมาตรา 258 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
กฎหมายนี้มีจุดประสงค์เพื่อคุ้มครองผู้ถือหุ้นรายย่อย และสร้างความโปร่งใสในตลาดทุน โดยกำหนดให้บุคคลที่กระทำร่วมกันต้องเปิดเผยข้อมูล และต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด (Tender Offer) หากสัดส่วนการถือหุ้นรวมเกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด เช่น 25%, 50% หรือ 75%
ตัวอย่างที่พบได้บ่อย ได้แก่ กรณีที่สามีและภรรยาซื้อหุ้นบริษัทเดียวกัน และใช้สิทธิออกเสียงร่วมกันในการประชุมผู้ถือหุ้น หรือกรณีที่บริษัทแม่และบริษัทย่อยร่วมกันเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทเป้าหมาย
รวมถึงกรณีที่ผู้บริหารและพนักงานบางกลุ่มรวมตัวกันเข้าถือหุ้นของบริษัทเป้าหมาย เพื่อวัตถุประสงค์ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหาร โดยไม่แจ้งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งจะถือว่าผิดกฎหมาย หากไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดเรื่องการรายงานและการเสนอซื้อหลักทรัพย์ตามที่กฎหมายกำหนดไว้
ธิติ ภัทรยลรดี