
กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคิน (KKP) จับมือ Goldman Sachs Asset Management จัดงานสัมมนา KKP 2025 Mid-Year Review: The Power of Two มองเศรษฐกิจโลกครึ่งหลังปี 2568 อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ท่ามกลางแรงกดดันจากภูมิรัฐศาสตร์และการค้าสหรัฐ-จีน แนะกลยุทธ์ปั้นพอร์ตด้วยการเน้นหุ้น Quality และหุ้น Defensive เพื่อรักษาเสถียรภาพท่ามกลางความผันผวน พร้อมชู 4 กลุ่มดาวเด่นปี 69 คือ Healthcare, หุ้นยุโรป, หุ้นอินเดีย และพลังงานนิวเคลียร์
Timothy Moe, Chief Asia Pacific Regional Equity Strategist and Co-Head of Macro Research in Asia, Goldman Sachs ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ยังเติบโตแต่เริ่มชะลอตัว โดยมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนด้านภาษีและภูมิรัฐศาสตร์ พร้อมแนะนำให้นักลงทุนเน้นโอกาสเฉพาะตัว (idiosyncratic opportunities) ที่ไม่พึ่งพาปัจจัยมหภาคมากนัก

ในกรณีที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นจากความขัดแย้งในอิหร่าน หากน้ำมันพุ่ง 10% อาจฉุด GDP โลกลง 0.1% และดันเงินเฟ้อเพิ่ม 0.2% อย่างไรก็ดี ในภาวะที่น้ำมันแพงและภูมิรัฐศาสตร์ผันผวน ตลาด ASEAN รวมทั้ง 4 หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) และหุ้นกลุ่ม Defensive มีโอกาสให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นเอเชียในภาพรวม
สำหรับฝั่งสหรัฐฯ Goldman Sachs ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP และลดโอกาสเกิดภาวะถดถอยเล็กน้อย จากแรงกดดันภาษีที่ผ่อนคลายลง แต่ยังคงกังวลเรื่องวินัยการคลังที่อาจกดดันค่าเงินดอลลาร์และตลาดพันธบัตร โดยคาดว่า S&P 500 จะให้ผลตอบแทนราว 4-5% ในอีก 12 เดือน หากไม่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และประเมินเป้าดัชนีที่ระดับ 6,500 จุด
ในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ แนะนำลงทุนทองคำในภาวะที่ความไม่แน่นอนยังสูง ตลาดกังวลความเสี่ยงด้านสถาบันในสหรัฐฯ และแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลกที่ยังแข็งแกร่ง สำหรับตลาดหุ้นเอเชียให้ปรับน้ำหนัก โดยเพิ่ม เกาหลีใต้ ไต้หวัน และกลุ่มเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ และลดน้ำหนักสิงคโปร์และอินโดนีเซีย ส่วนจีนและญี่ปุ่นยังแนะนำให้คงถือมากกว่ามาตรฐานเช่นกัน
กลยุทธ์การลงทุนครึ่งปีหลังเน้นไปที่หุ้นที่ได้อานิสงส์จากเงินดอลลาร์อ่อนค่า หุ้นปันผลสูง กำไรคุณภาพดี แนวโน้มถูกปรับประมาณการขึ้น รวมถึงหุ้นกลุ่ม Aerospace & Defense กลุ่ม AI และกลุ่มที่ได้แรงหนุนจากนโยบายรัฐจีน
นายทวีศักดิ์ เผ่าพัลลภ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน (CIO Office) บล.เกียรตินาคินภัทร เผยว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกอาจเผชิญแรงขายในระยะสั้นจากผลกระทบภาษีนำเข้าและนโยบายกีดกันการค้า แต่คาดว่าตลาดจะฟื้นตัวได้ดีในปี 69 หนุนโดยมาตรการกระตุ้นจากสหรัฐฯ และยุโรป โดยเฉพาะการลดภาษีในสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะหนุน GDP ปี 69 เพิ่ม 0.5% และกำไรต่อหุ้นปรับขึ้นกว่า 5%
บล.เกียรตินาคินภัทร ยังคงคำแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ อย่างเต็มที่ตามสัดส่วนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้ (fully invest) และมองว่าระดับดัชนี S&P 500 ที่ 5,800 จุดเป็นโอกาสในการทยอยเข้าลงทุน โดยมีเป้าหมายกลางปี 69 ที่ระดับ 6,500 จุด พร้อมเน้นการถือหุ้น Quality และ หุ้น Defensive ซึ่งมีพื้นฐานค่อนข้างแข็งแกร่ง ความเสี่ยงต่ำ และมีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เพื่อรักษาเสถียรภาพพอร์ตท่ามกลางความผันผวน
หุ้นดาวเด่นที่ควรมีในพอร์ตลงทุน:
1.หุ้น Healthcare: เด่นจาก valuation ที่ยังต่ำ กำไรฟื้นตัว และแนวโน้มการเติบโตระยะยาวจากโครงสร้างประชากรสูงวัย รวมถึงโอกาสควบรวมกิจการในกลุ่ม Biotech ที่จะเป็นแรงส่งเพิ่มเติม
2.หุ้นยุโรปในสกุลเงินยูโร: ได้อานิสงส์จากนโยบายการคลังของเยอรมนี การลดดอกเบี้ยของ ECB และ P/E ยังต่ำกว่าหุ้นโลกเฉลี่ย 10% ทำให้น่าสนใจทั้งด้าน valuation และแนวโน้มกำไรเป็นได้ทั้งการลงทุนเชิงรุกในหุ้นโลกและช่วยกระจายความเสี่ยงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
3.หุ้นอินเดีย: ได้แรงหนุนจากโครงสร้างประชากร เสถียรภาพการเมือง และการกระจายฐานการผลิตจากจีน แม้ valuation สูง แต่ยังน่าสนใจจากศักยภาพการเติบโตที่ 1015% ต่อปี
4.หุ้นพลังงานนิวเคลียร์: เป็นโอกาสลงทุนระยะยาวที่น่าสนใจจากแนวโน้มการใช้ไฟฟ้าที่เติบโตเร็วตามเทรนด์ electrification และความต้องการของ data center มีจุดเด่นคือผลิตไฟฟ้าได้เสถียร ต้นทุนต่ำและไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเดินเครื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ความต้องการแร่ยูเรเนียมขยายตัวขึ้น
บล.เกียรตินาคินภัทร ลดน้ำหนักตราสารหนี้โลกลงมาเป็น "Neutral" จากความกังวลเรื่องหนี้สาธารณะสหรัฐฯ และแรงกดดันเงินเฟ้อ แต่ยังแนะนำลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูง อายุ 35 ปี ที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง ขณะที่ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์
ส่วนหุ้นไทย แนวโน้มยังอ่อนแรง คงมุมมองระมัดระวังในครึ่งปีหลัง โดยประเมินกรอบดัชนีที่ 1,0001,300 จุด จากแรงกดดันเศรษฐกิจในประเทศ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ แนะนำกระจายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศที่มีแนวโน้มดีกว่า